ใต้ร่มต้นไม้ใหญ่และม่านไม้เลื้อย บนที่ดินเขียวชอุ่มกลางเมืองนนทบุรีที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเรือกสวนผลไม้ วันนี้กลับกลายเป็นเคหะสถานของร้านอาหารบรรยากาศอบอุ่น ในการกำกับของ เปิ้ล-ศุภชัย เติมเตชาติพงศ์ และออม-ภัณฑิรา เติมเตชาติพงศ์ คู่สามี-ภรรยาผู้อยากเปิดประตูบ้านให้ผู้คนเข้ามาทำความรู้จักวิถีชีวิตที่พวกเขานิยามว่า ‘ชีวิตดีแบบยืดหยุ่น’ เหล่านั้นคือที่มาของร้าน ‘ปลูกกับปรุง’ ที่ที่เราเชื่อว่าทำให้ใครหลงรักได้ไม่ยาก
ระหว่างบ่ายวันหนึ่ง เรามีโอกาสก้าวเข้าไปเยี่ยมเยียนปลูกกับปรุง พร้อมๆ กับการต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้างของเปิ้ลและออม และหลังเอนกายลงบนเก้าอี้ไม้ริมระเบียงสวนครัวขนาดกะทัดรัด บทสนทนาว่าด้วยเส้นทางการกินดีและอยู่สบายของทั้งสองก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยเสียงหัวเราะและแววตาระลึกย้อนความหลัง ครั้งชีวิตยังไม่ยืดหยุ่นเท่าทุกวันนี้
“สมัยก่อนเราทำงานเอเจนซี่โฆษณา อย่างที่รู้กันว่าคนทำงานสายนี้ใช้ร่างกายกันค่อนข้างหนัก อดหลับอดนอน (หัวเราะ) แล้ววันหนึ่งเราก็เริ่มสังเกตว่าสุขภาพเริ่มแย่ลงแล้วนะ เลยเริ่มหาทางทำยังไงให้สุขภาพดีขึ้น แล้วก็พบว่าอาหารนี่แหละคือเครื่องมือสำคัญในการรักษาสุขภาพอย่างดีที่สุด”
เปิ้ลเกริ่นให้เราฟังแบบนั้น ก่อนไล่เรียงการเรียนรู้เรื่องอาหารการกินของทั้งเขาและออมว่า เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรัดตัวเอง เพราะเชื่อว่าสุขภาพร่างกายที่ดีนั้นต้องเกิดจากสุขภาพจิตที่ดีด้วย
“เริ่มจากเลือกกินมากขึ้น อย่างผักผลไม้ก็เลือกที่เรามั่นใจว่าปลอดภัย เวลามีตลาดอาหารอินทรีย์ก็จะแวะไปศึกษาข้อมูล และทำความรู้จักแหล่งผลิตอยู่ตลอด เหมือนเป็นการสะสมแต้ม ต่อยอดเส้นทางการกินดีมาเรื่อยๆ จนเรารู้ว่าของดีอยู่ตรงไหน และเราชอบอะไร”
และจังหวะชีวิตก็เปิดโอกาสให้เขาและเธอได้เลือกใช้ชีวิตอย่างที่คิดในวันหนึ่ง อันเป็นที่มาของการโยกย้ายตัวเองจากบ้านใจกลางเมือง สู่บ้านสวนแสนร่มรื่นใจกลางนนท์
“มาวันหนึ่งเราก็เริ่มรู้สึกอยากออกจากชีวิตพนักงานออฟฟิศ พอดีออมเขามีที่ดินมรดกผืนนี้อยู่ เราก็เริ่มคิดกันว่าจะทำอะไรกับที่ตรงนี้ได้บ้าง” เปิ้ลชี้ชวนให้เราไล่สายตาออกไปยังที่ดินเขียวชอุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวนผสมผสาน มีทั้งทุเรียน มะปราง กระท้อน ชมพู่ ที่หลายต้นยังหลงเหลือให้ได้เก็บกินมาจนถึงทุกวันนี้
ออมยิ้มก่อนชวนให้เราดูเมนูอาหารประจำบ้านที่กลายมาเป็นอาหารประจำร้านปลูกกับปรุง “ส่วนตัวเราเป็นคนชอบทำอาหาร ก็จะมีสูตรอาหารที่ได้รับมอบมาจากแม่อยู่บ้าง คิดขึ้นเองบ้าง ก็เลยคิดกันกับพี่เปิ้ลว่าเปิดร้านอาหารกันไหม ทำเล็กๆ ในบ้านของเรานี่แหละ” กิจการร้านอาหารจึงเริ่มต้นจากจุดนั้น ทว่าขั้นตอนการประกอบร่างสร้างเป็นร้านอาหารที่น่านั่งแบบทุกวันนี้ก็ไม่ง่าย ด้วยต้องอาศัยทั้งความใส่ใจ ความพิพิถัน และการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
“เราเริ่มจากสร้างบ้านโดยคิดให้มีพื้นที่กลางสำหรับร้านอาหาร และเป็นสวนครัวเล็กๆ หลังร้านที่เราสามารถหยิบมาใช้ประโยชน์ได้ โดยเมนูอาหารช่วงแรกจะเน้นสูตรประจำบ้านที่เราชอบกิน แต่หลังจากหยุดร้านช่วงโควิด-19 เรากับพี่เปิ้ลก็มีเวลานั่งคิดกันว่า เรามาทำร้านนำเสนออาหารแบบที่เราอินกันดีกว่า คืออาหารปลอดภัยแบบยืดหยุ่น คือทำให้สุขภาพดีด้วย และอร่อยดีต่อใจด้วย เพราะก่อนหน้านี้เราเคยเป็นกินอาหารคลีนแบบสุดๆ ผลคือสุขภาพดีจริง แต่ไม่ชุ่มชื่นหัวใจเลย (หัวเราะ) และค้นพบว่าทางสายกลางนี่แหละดีที่สุด” แม่ครัวประจำร้านปลูกกับปรุงสำทับด้วยรอยยิ้ม ก่อนชวนให้เราสั่งสลัดมาลองชิมสักหนึ่งจาน
‘สลัดปลูกกับปรุง’ เดินทางมาวางเสิร์ฟตรงหน้า ในจานคือผักสลัดสดกรอบจากสวนที่ทั้งคู่ไว้ใจในคุณภาพ ราดด้วยน้ำสลัดใสปรุงรสออกเปรี้ยวอมหวาน เสริมความอร่อยด้วยสาหร่ายวากาเมะ เต้าหู้คินุเนื้อเนียนนุ่ม และไข่กุ้งพูนๆ ที่แม่ครัวบอกว่า นี่แหละคือทีเด็ดที่ทำให้คนหลงรักอาหารจานผักได้ไม่ยาก
“ร้านเราเน้นเมนูสลัดเป็นพิเศษ หนึ่งเพราะความชอบของเราเองด้วย สองคือเราคัดสรรวัตถุดิบจากแหล่งที่ไว้ใจจริงๆ และนำมาปรุงอย่างเข้าใจความสุขของคนกิน” ออมเล่าเรื่อยๆ ระหว่างเราชิมสลัดจานตรงหน้า และพยักหน้าเห็นพ้องกับที่เธอว่ามาทั้งหมด
นอกจากสลัดแล้ว อาหารจานหลักของปลูกกับปรุงก็อุดมความพิเศษไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ ‘ยำส้มโอปลูกกับปรุง’ ที่อร่อยเป็นพิเศษจนเราเอ่ยปากถามที่มา “ยำส้มโอเป็นของโปรดของครอบครัวเราอยู่แล้ว ข้อเด่นคือหนักเครื่อง ทำสดใหม่ สะอาด อย่างผักเคียงอย่างใบชะพลูเราเด็ดจากสวนครัวกันสดๆ บางครั้งลูกค้ามาทานแล้วอยากได้ชะพลูเพิ่ม ก็เดินไปเด็ดให้ได้นะ (หัวเราะ) บางคนอยากได้กิ่งชะพลูกลับไปปลูกที่บ้าน เราก็แชร์ให้กัน ก็เกิดบทสนทนาดีๆ ขึ้นตามมา”
ส่วนเมนู ‘ข้าวยำ’ นั้น รายล้อมข้าวหอมมะลิเนื้อนุ่มด้วยผักสดที่ซอยมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หอมมะพร้าวคั่ว และเมื่อราดด้วยน้ำยำบูดูรสชาติกลมกล่อมลงไป จานนี้ก็สร้างบทสนทนาต่อได้อีก
ออมยิ้มก่อนเล่าเรื่อยๆ ว่าอนาคตอยากขยับขยายทั้งชนิดผักในสวน และจำนวนสำรับในเมนูให้หลากหลายยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้คงต้องดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามหลักที่เธอและเปิ้ลยึดโยง
“พอเปิดร้านได้สักพัก ความอิ่มใจคือลูกค้าเก่ากลับมาหาเราอีกเรื่อยๆ บางคนเป็นคุณแม่ที่พาลูกวัยรุ่นกลับมาด้วย หรือบางคนเป็นเด็กวัยรุ่นที่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพ และชักชวนเพื่อนมาแบบปากต่อปาก ซึ่งมันค่อยๆ เปลี่ยนความหมายของร้านอาหาร ให้กลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนเข้ามาแลกเปลี่ยนสิ่งดีๆ ร่วมกัน และนั่นคือภาพอนาคตที่เราสองคนหวังอยากเห็นเช่นกัน” แม่ครัวนักปลูกและนักปรุงปิดท้ายด้วยยิ้มกว้างอย่างเคย
ร้านปลูกกับปรุง
สถานที่: เลขที่ 69/12 บางไผ่ซอย 4 นนทบุรี
วัน-เวลา: วันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 8:30-19:00 น. วันศุกร์-อาทิตย์ เปิดเวลา 8:30- 21:00 น. ปิดวันจันทร์
รายละเอียด: www.facebook.com/plukkabprung
ภาพถ่าย: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร