“นี่เธอ รู้ไหมว่าหมู่บ้านดู่ใหญ่ของอำเภอเรา มีพริกเม็ดใหญ่ที่อร่อยมาก แถมถ้าไม่จองไม่ได้กินนะ”

จ๊ะโอ๋ เพื่อนสมัยมัธยมเปิดบทสนทนากับฉันเมื่อสามเดือนก่อน ประเด็นที่กล่าวมา สะกิดติ่งคนชอบทำอาหารอย่างฉัน และคิดว่า ใกล้เกลืออย่ากินด่าง มีพริกดีๆ อยู่ใกล้บ้านก็ไม่ควรพลาด จึงขอบุกเยือนหมู่บ้านดู่ใหญ่ อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อพิสูจน์ความเผ็ดนัวของเจ้าพริกเลื่องชื่อที่ว่านี้สักครั้ง

หลังคุยกับเพื่อนเสร็จ ฉันไม่รอช้า รีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปบ้านดู่ใหญ่ทันที แต่ปรากฏว่าด้วยสภาวะโลกร้อนและอากาศที่วิปริต ปีนี้ช่วงเวลาดังกล่าวและก่อนหน้านั้นแห้งแล้งเหลือใจ ชาวบ้านไม่สามารถปลูกพริกและเก็บผลผลิตพริกได้ตามเวลา ฉันเลยได้แค่พริกแห้งข้ามปีมาลองทำอาหารดูเท่านั้น แต่ก่อนกลับ คุณลุงในร้านขายของชำในหมู่บ้านบอกกับฉันว่า

“อีกจักสองเดือนมาใหม่เด้อ จะได้ชิมพริกสด บักพริกใหญ่บ้านดู่ใหญ่ตำแจ่วแซ่บหลาย มันเผ็ดนัว บ่เผ็ดพินลิน ผู้เฒ่าผู้แก่ใช้ข้าวเหนียวปั้นคุ้ยกินได้บ่เผ็ด”

แปลให้เข้าใจง่ายๆว่า “อีกสองเดือนมาใหม่ จะได้กินพริกสดบ้านดู่ใหญ่ที่เผ็ดอร่อย ไม่เผ็ดแสบเกินไป คนแก่ก็ใช้ข้าวเหนียวจิ้มกินเนื้อน้ำพริกได้เลย”

หลังจากวันนั้น ฉันก็รอแล้วรอเล่า จนย่างเข้าฤดูหนาวแล้วนะพี่จ๋า สัญญิงสัญญายังจำได้ไหม? เรื่องอะไรก็ลืมได้ แต่เรื่องพริกใหญ่บ้านดู่ใหญ่นั้นฉันไม่ลืม เช้าวันอาทิตย์สัปดาห์ต้นเดือน พ.ย. พ.ศ.63 ฉันจึงบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปที่หมู่บ้านดู่ใหญ่ และแวะไปถามชาวบ้านที่ร้านขายของชำว่า มีพริกสดขายไหม? โชคดีที่ได้เจอ คุณลุงอินถวา (อ่านว่า อิน-ถะ-หวา แปลว่า ดอกพุดซ้อน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า การ์ดีเนีย นั่นเอง) วัย 63 ปี ซึ่งปลูกพริกเอาไว้โพนหนึ่ง ฉันเลยขอซื้อพริกจากคุณลุง แต่ขอว่าให้คุณลุงพาฉันไปเก็บพริกด้วยตัวเอง ซึ่งคุณลุงก็ยินดี

ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากกลางหมู่บ้าน ตามถนนดินลูกรัง เลียบทุ่งนาข้าวที่กำลังออกรวงไปไกลพอควร คุณลุงก็จอดรถ และบอกว่าต่อจากนี้เราต้องเดินลุยนาเข้าไป ฉันมองไปยังไม่เห็นต้นพริกสักต้น แต่ก็เดินตามคุณลุง และถ่ายภาพวิวโน่นนี่ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงเนินดินขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยต้นพริกเตี้ยๆ กำลังติดผลมีทั้งสีเขียวสีแดง

เจ้าเนินดินที่ว่านี้แหละชาวบ้านเรียกว่า “โพน” ซึ่งเป็นพื้นที่เหลือเว้นเอาไว้หลังไถปรับพื้นที่เป็นทุ่งนา โพนมักจะมีต้นไม้เกิดอยู่ ชาวบ้านจึงไม่โค่นต้นไม้ทิ้ง แต่จะเว้นเอาไว้เพื่อใช้เป็นร่มเงา แต่ถ้าโพนไหนต้นไม้เกิดตาย พวกเขาก็จะปรับมาเป็นแปลงปลูกพริก คุณลุงอินถวาบอกว่า พริกชอบดินโพน เพราะน้ำท่วมไม่ถึง พริกใหญ่บ้านดู่ไม่ชอบให้น้ำขังราก แต่ชอบดินเหนียว ถ้าไปปลูกดินทรายต้นจะอยู่ไม่ทน  ใกล้ๆ โพนพริกที่ฉันยืนอยู่ มองไปก็จะเห็นโพนปลูกพริกอื่นๆ อีกหลายจุด

ระหว่างกำลังเก็บพริกกันอยู่ สักพักมีเสียงผู้หญิงตะโกนทักว่า “มาเฮ็ดหยังน้อ?” (มาทำอะไรหรือ?) คุณป้าทองขันธ์ วัย 70 ปี เจ้าของที่นาติดกันแวะเข้ามาทักทาย ฉันก็เลยบอกไปว่า มาซื้อพริก เห็นคนร่ำลือว่าพริกที่นี่อร่อย คุณป้าก็เลยมาช่วยเก็บ ฉันก็เลยสอบถามว่า พริกใหญ่บ้านดู่นี่ปลูกมานานแค่ไหนแล้ว คุณป้าตอบว่า

“ปลูกมาแต่โดนแล้ว ตั้งแต่ปู่แต่ย่า เกิดมาพ่อแม่ก็พาปลูก พริกบ้านดู่ใหญ่ จะปลูกกันเดือน 6 แล้วเริ่มเก็บผลผลิตเดือน 7 ไปจนถึงสิ้นปี เกี่ยวข้าวเก็บข้าวขึ้นเล้า ก็เก็บพริกกลับบ้านได้เป็นพริกรุ่นสุดท้าย พริกบ้านเฮาเก็บเมล็ดพันธุ์เอง ปลูกกันมานาน ไม่ได้ซื้อเมล็ดพันธุ์จากตลาดนะ แถมพริกที่นี่เอาไปปลูกหมู่บ้านใกล้เคียงก็ไม่เกิด หรือต่อให้เกิดก็ให้ผลผลิตบ่ดี เหมือนปลูกที่บ้านดู่”

การปลูกพริกของชาวบ้านดู่ใหญ่นั้นเป็นการปลูกแบบปลอดภัย แถมใช้เมล็ดพันธุ์พื้นบ้านที่เก็บต่อๆ กันมาอีกด้วย เยี่ยมไปเลย

คุณป้าบอกกับฉันอีกว่า ปีนี้พริกให้ผลผลิตไม่ดี เพราะมันแล้งช่วงต้นปี ปลูกพริกไม่ได้ กว่าจะปลูกพริกได้ ก็ช่วงปลายเดือนสิงหาคม พริกเลยออกช้า เห็นไหมว่าวิกฤตสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อเราจริงๆ

พริกใหญ่บ้านดู่ใหญ่นั้น เป็นพริกเม็ดใหญ่ ทรงคล้ายพริกหนุ่ม แต่เม็ดจะเรียวยาวกว่า และมีความหงิกงอเล็กน้อยเป็นบางเม็ด ชาวบ้านแถบอีสานบ้านฉัน เรียกกันว่า ‘บักพริกใหญ่’ เมื่อผลเป็นสีเขียว จะนำมาย่างไฟแล้วโขลกพร้อมหอมและกระเทียมเผา เติมน้ำปลาร้า ก็จะได้แจ่วบักพริกไว้ตั้งบนสำรับ กินกับปลานึ่ง ผักนึ่ง ข้าวเหนียว ได้อร่อยเหลือใจ ส่วนที่นำมาตากแห้ง ร่ำลือกันว่าใช้ทำขนมจีนน้ำยาลาว หรือที่ทุกวันนี้เรียกกันว่า น้ำยาป่า ได้น้ำยาสีสวยและอร่อยกว่าพริกที่ไหนๆ

พอกลับถึงร้านขายของชำ คุณลุงก็นำพริกมาชั่งกิโล พร้อมคิดเงินฉัน น้องผู้หญิงเจ้าของร้านของชำเดินมาคุยด้วย จึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันและพบว่า พริกบ้านดู่ใหญ่ปลูกได้แค่ปีละครั้ง ถึงจะมีคุณภาพดี แต่มีข้อจำกัดเชิงปริมาณ ฉันจึงแนะนำไปว่า เรามีของดีอยู่ในมือ ไม่จำเป็นต้องไปแข่งขันกับตลาดเชิงปริมาณ แต่ขอให้เราหาทางบอกเล่าความดีงามของสิ่งที่เรามีอยู่ให้คนทั่วไปได้รับรู้และตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริง วัตถุดิบที่ดีก็จะมีมูลค่าสูงสมคุณค่าของตัวมันได้ พูดถึงตรงนี้ น้องเขาก็พยักหน้าหงึกๆ บอกกับฉันว่า “ดีจัง ได้แนวทางแล้ว ขอบคุณมากนะคะ ถ้าว่างวันไหนแวะมาเยือนบ้านดู่ใหญ่ ก็แวะมากินน้ำที่บ้านนะพี่” เป็นการปิดจ๊อบเก็บพริกที่ฉันรู้สึกอิ่มเอมใจเหลือเกิน

ได้พริกใหญ่บ้านดู่ใหญ่มาแล้ว ฉันก็รีบกลับบ้าน ตำแจ่วพริก ตั้งสำรับเคียงปลานึ่ง กินกับพ่อ พอชิมแล้วก็พบว่า พริกสดของที่นี่เผ็ดน้อยจริง แถมมีรสอูมามิแบบธรรมชาติ ทำให้เราสามารถรับประทานเนื้อน้ำพริกทีละมากได้จริง แต่สำหรับสูตรที่จะนำมาฝากคุณผู้อ่านกรีนเนอรี่นั้น ฉันขอทำซอสพริกแบบฝรั่ง หรือซอสที่เราเรียกกันอย่างคุ้นชินว่า ‘ทาบาสโก้’ มาฝากกัน

โดยสูตรนี้เป็นการทำซอสพริกแบบฝรั่งสด ไม่ต้องหมักนานๆ จากนั้นก็นำซอสพริกแบบฝรั่งที่ได้ มาทำอาหารเรียกน้ำย่อยแบบฝรั่งอย่าง Deviled Eggs รับประทานกัน เพื่อช่วยส่งให้วัตถุดิบโลคัลอย่างพริกใหญ่บ้านดู่ ดูเลอค่า โกอินเตอร์กันยิ่งขึ้น ว่าแล้วอย่ารอช้า ไปดูวิธีทำกันเลย

ซอสพริกแบบฝรั่งจากพริกใหญ่บ้านดู่ใหญ่

ส่วนผสม

1. พริกใหญ่บ้านดู่เม็ดสีแดง 250 กรัม
2. น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 400 กรัม
3. เกลือบ่อกฐิน ½ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

หั่นพริกใหญ่บ้านดู่เป็นท่อนสั้นๆ ใส่ลงหม้อพร้อมน้ำส้มสายชู และเกลือ

ปิดฝาหม้อ ต้มด้วยไฟอ่อนนาน 10 นาที จนพริกนิ่ม

พักให้เย็น แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด เก็บใส่ขวดไว้ใช้ได้นาน

Tips

• หากต้องการทำซอสพริกแบบฝรั่งจากพริกเขียว ให้นำพริกไปคั่วให้หอมก่อนนำไปปรุงตามสูตร


• ซอสพริกแบบฝรั่งแบบดั้งเดิม ให้หั่นพริกเป็นท่อนแล้วดองในน้ำส้มสายชูผสมเกลือ ตามสัดส่วนที่ให้ไว้ เอาไว้ 2 สัปดาห์ จึงนำมาปั่น และกรองเอาแต่น้ำ บรรจุใส่ขวดเก็บไว้ใช้ (จริงๆ เขาจะนำไปบ่มในถังไม้ไว้อีกด้วย)
• หากไม่มีพริกบ้านดู่ใหญ่ สามารถใช้พริกชี้ฟ้ามาทำก็ได้ หรือใช้พริกฮาลาปิญโญ่แบบต้นตำรับไปเลย
• สูตรซอสพริกแบบฝรั่งที่ให้ไว้ มีความข้นของเนื้อพริก นำไปใช้ปรุงน้ำยำได้ด้วยนะ อร่อยและให้สีสวยเชียว

Deviled Eggs

ส่วนผสม

1. ไข่ไก่อินทรีย์เบอร์ 1 ต้มสุกจัด 5  ฟอง
2. ซอสพริกแบบฝรั่งจากพริกบ้านดู่ใหญ่ 2 ช้อนโต๊ะ
3. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 5 ช้อนโต๊ะ
4. ดอกพริก ใบผักชี และซอสพริกแบบฝรั่งจากพริกแห้งบ้านดู่ใหญ่สำหรับตกแต่งตามชอบ

วิธีทำ

ผ่าครึ่งไข่ต้ม ตักไข่แดงออกระวังอย่าให้ไข่ขาวฉีกขาด

จากนั้นนำไข่แดงไปบดผ่านกระชอน แล้วนำมาคนผสมกับทาบาสโก้ โยเกิร์ต ตักใส่ถุงบีบ แล้วบีบกลับลงบนไข่ขาว ตกแต่งจานด้วย ดอกพริก ใบผักชี และซอสทาบาสโก้

พร้อมเสิร์ฟ 🙂

ภาพถ่าย: สิทธิโชค ศรีโช