มูลนิธิ เอ็มโอเอไทย (MOA THAI Foundation) คือสถานที่ทำงานแห่งแรกและแห่งเดียวมาเกือบ 30 ปีของ สุชาญ ศีลอำนวย ผู้จัดการโครงการและเลขานุการ จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการทำงานให้ตรงกับที่เรียนด้านภาษาญี่ปุ่น เขากลับค้นพบความน่าทึ่งของเกษตรธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวคิดของผู้ก่อตั้ง หรือ คุณโมกิจิ โอกาดะ (Mokichi Okada) อ่านถึงตรงนี้หลายคนน่าจะพอเดาได้ว่า MOA ก็ย่อมาจากชื่อของคุณโอกาดะนั่นเอง

MOA ก่อตั้งขึ้นในปี 2479 ที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ขยายสาขามาที่เมืองไทยเมื่อราวๆ ปี 2533 โดยมีพื้นที่สำหรับการทำวิจัย ด้านการเกษตรและฝึกอบรมการใช้ชีวิตตามแนวทางธรรมชาติอยู่ที่จังหวัดลพบุรี

คุณสุชาญเล่าให้เราฟังว่า “ท่านโอกาดะ เคยป่วยเป็นวัณโรคตอนอายุ 18 หมอรักษาไม่ได้ เพราะสมัยนั้น วัณโรคคือโรคร้ายแรง พอหมอรักษาไม่ได้ ท่านก็กลับมาดูแลตัวเอง ทีนี้ท่านก็ไปเจอตำราอาหารเป็นยา หรือเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรจีน เรื่องอาหารการกิน ท่านเลยปรับพฤติกรรมในการกิน หันมากินผักเป็นหลัก กินจนอาการดีขึ้น จนกระทั่งหายจากวัณโรคและอายุยืนยาวมาถึง 73 ปี ท่านเลยได้คำตอบว่า คนเราจะสุขภาพดีได้ ก็ต้องกินผักตามธรรมชาติ แต่ปกติคนไม่กินผักเพราะไม่อร่อย ท่านเลยหาวิธีปลูกพืชผักให้มันอร่อย แล้วก็เลยไปทางเกษตรธรรมชาติ ทีนี้พอท่านหาย ท่านรู้วิธีการ ท่านก็เริ่มรับรักษาผู้ป่วยที่เป็นวัณโรค เริ่มจากจัดเมนูอาหาร แล้วก็ใช้หมอแผนปัจจุบันมาช่วยดูแลด้วย  โดยท่านมีหลักการว่า

“ทุกอย่างต้องเริ่มจากทำตัวเองให้มีสุขภาวะที่ดี จากนั้นก็ขยับไปที่ครอบครัว ชุมชน สังคม ประเทศ โลก”

นอกจากภาษาญี่ปุ่น จะช่วยเชื่อมโยงให้คุณสุชาญ เข้ามาร่วมงานกับ MOA แล้ว เรื่องสุขภาพก็น่าจะเป็นอีกเรื่องสำคัญ ที่ทำให้เขาตัดสินใจทำงานที่นี่ได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาสุขภาพดี แข็งแกร่ง บุกตะลุยได้ทุกงานตามประสาเด็กจบใหม่ ไฟแรง แต่เป็นเพราะสุขภาพไม่ดีต่างหาก และที่ MOA ก็ค่อยๆ ทำให้เขาเรียนรู้เกี่ยวกับอาหารการกิน วิถีธรรมชาติที่ยั่งยืน การกินอาหารเป็นยา และที่สำคัญ เขาได้เรียนรู้ว่า พลังชีวิต ที่มีในพืชผัก ก็ไม่ต่างอะไรจากพลังชีวิตที่มีในมนุษย์ และพลังที่ว่านั้นจะมีไม่ได้เลย ถ้าหากพืชผักเติบโตมาแบบอมโรคและอ่อนแอ และที่น่าทึ่งก็คือ พืชผักที่เราปลูกนั้น ต้องเริ่มต้นปลูกด้วยความรัก ความเอาใจใส่

เราปลูกรักแบบไหน เราก็ควรปลูกผักให้ได้แบบนั้น

พลังชีวิตอาจเป็นพลังที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่จะเป็นไรไป เพราะพลังแห่งความรักก็เป็นแบบเดียวกัน

อยากให้ช่วยเล่าจุดเริ่มต้นที่มาร่วมงานกับ MOA

ย้อนไป 30 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้น MOA ส่งเจ้าหน้าที่มาเมืองไทย มาทำงานร่วมกับสภาสังคมสงเคราะห์  เพื่อช่วยเผยแพร่งาน มีการทำบันทึกความร่วมมือกับสภาสังคมสงเคราะห์ กรมพัฒนาที่ดิน และกระทรวงศึกษาฯ ในส่วนของกศน. เพื่อเข้าไปช่วยพัฒนาศูนย์ฝึกอาชีพเกษตรกรรม โดยเริ่มจากที่ชลบุรี ตอนนั้นผมเริ่มทำงานเป็นพาร์ตไทม์ เพราะจบด้านภาษาญี่ปุ่น ทีนี้ทำไปทำมา ก็ยิ่งชอบเรื่องเกษตรธรรมชาติ เขาก็เลยส่งไปเรียนรู้เพิ่มเติมที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะที่นั่นมีฟาร์มขนาดใหญ่ให้เรียนรู้เลย เราก็เลยสนุก ได้เรียนรู้เรื่องเกษตร เรื่องธรรมชาติ ที่เชื่อมโยงมาเรื่องสุขภาพ

เพราะส่วนตัวแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็ก กินยามาตลอด เลยอยากเป็นคนที่สุขภาพดีโดยไม่ต้องกินยา จึงหันมาสนใจเรื่องเกษตรธรรมชาติ ที่ไม่มีสารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เรียกว่าเปลี่ยนวิถีชีวิตเลย ทุกวันนี้กินผักที่ปลูกตามแนวทางธรรมชาติ ก็ไม่ค่อยป่วย หรือเวลาป่วยก็ไม่ได้กินยามาเป็นเวลา 30 ปี แต่ใช้วิธีนอนพัก กินอาหารที่ดี กินผักที่ปลูกตามแนวทางธรรมชาติ

แนวคิดของ MOA เชื่อว่า ผักที่ปลูกตามธรรมชาติ จะมีพลังชีวิตเยอะ ซึ่งมันจะไปช่วยหล่อเลี้ยงร่างกายภายในของเราด้วย

แต่เกษตรแนวทางอื่นๆ เขาจะพูดแค่เรื่องอาหารปลอดภัย ไม่มีสารเคมีตกค้าง แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงพลังชีวิต

คือถ้าเปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ คนเราจะประกอบไปด้วยจิตกับกาย หรือ จิตนำกาย เช่นเดียวกัน อาหารก็มีจิตกับกาย กายของมันก็คือสารอาหาร เกลือแร่ วิตามิน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ที่ไปหล่อเลี้ยงร่างกายเรา แต่ส่วนที่เป็นจิต หรือพลังชีวิต หรือปราณ ก็เป็นอีกส่วนที่เราให้ความสำคัญด้วย เพราะมันต้องไปทั้งสองส่วน แต่ปกติเราไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นสารอาหาร เพราะเราคิดว่าพลังชีวิตสัมผัสไม่ได้ แต่จริงๆ เกลือแร่ วิตามิน พวกนี้ เราก็สัมผัสไม่ได้นะ เพราะเรามองไม่เห็นอยู่ดี มันเป็นกึ่งสสาร ที่จับต้องไม่ได้ แต่วันนี้เราใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จับได้บ้างแล้ว แม้จะไม่ทั้งหมด เช่น เริ่มมีกล้องที่จับออร่าของต้นไม้ได้ ซึ่งออร่าก็คือพลังชีวิตนั่นเอง แล้วมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด พูดง่ายๆ ว่าถ้าผักมีพลังชีวิตมาก มันจะอยู่ได้นาน เหมือนรูปที่ผมให้ดูนี่ (เปิดรูปของผักผลไม้ที่ได้จากศูนย์วิจัย MOA ลพบุรี ผักที่ใช้สารเคมี จะเหี่ยวและอยู่ได้ไม่นาน ผิดกับผักที่ปลูกตามแนวธรรมชาติ) แล้วเมื่อสารอาหารเข้าไปสู่ร่างกายเรา มันจะไปหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเราด้วย  นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้กันมา

อยากทราบว่าองค์ความรู้พวกนี้มาจากไหน

ตัวท่านโอกาดะ ที่เป็นผู้ก่อตั้ง ศึกษาทดลองด้วยตัวเองก่อน เรื่องเกษตรธรรมชาติท่านก็ทำเอง ขุดแปลงเอง ปลูกเอง ทดลอง เก็บเกี่ยวองค์ความรู้เอง จนมั่นใจว่าวิถีนี้ใช่ เพราะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพจริงๆ เลยแบ่งให้คนอื่นกินบ้าง ทีนี้เมื่อรู้ว่ามันทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นจริงๆ  ก็นำความรู้นี้ไปถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ใกล้ตัว ก่อนจะขยายไปวงนอก ส่วนเรื่องพลังบำบัด ท่านก็ต้องศึกษาเองจนมั่นใจ ท่านพิสูจน์กับคนป่วยกว่าสองหมื่นรายแล้วพบว่า การกินอาหารที่ดี ที่ได้จากธรรมชาติ ช่วยเรื่องสุขภาพอย่างได้ผล ท่านเลยไปเผยแพร่

เท่าที่ฟังมา รู้สึกว่าเกษตรธรรมชาติกับเกษตรอินทรีย์  มีความแตกต่างกันอยู่ อยากให้คุณอธิบายเพิ่มเติม

พูดง่ายๆ คือ เกษตรธรรมชาติ คือการทำการเกษตรที่ให้ความสำคัญกับดิน ทำให้ดินแสดงศักยภาพหรือพลัง โดยไม่ต้องอาศัยปุ๋ยหรือสารเคมีสังเคราะห์ แต่ให้เรียนรู้กลไกตามธรรมชาติและนำมาใช้ในแปลงเกษตร โดยเพาะปลูกพืชให้เหมาะกับพื้นที่และภูมิอากาศด้วยความรัก ตามลักษณะของพืช ความรักในที่นี้คือความรักของคนปลูก ที่อยากให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดี มีความรักให้ผู้บริโภค หรือพูดอีกอย่างว่า การใช้หัวใจปลูกพืชนี่แหละคือปุ๋ยชั้นดีของพืช เพราะเมื่อเราให้ความรักกับพืช มันก็จะเติบโตให้เรา ซึ่งเรื่องตรงนี้คนจะไม่ค่อยพูดถึง แต่มันมีภาพถ่ายที่พิสูจน์ได้เลยว่า พืชมีการเจริญเติบโตต่างกัน

เราจึงจำเป็นต้องมีงานทดลอง หรือวิจัยให้เห็นตลอด เพราะต้องยอมรับว่าเครื่องมือในยุคปัจจุบัน ยังไม่สามารถจับต้องพลังงานเหล่านี้ได้ทั้งหมด แต่ยกตัวอย่าง การปลูกด้วยความรัก มันอธิบายได้ง่ายๆ ว่า ก็คือการใส่ใจดูแลนั่นแหละ เช่น รดน้ำ พรวนดิน แต่การรดน้ำที่ว่า ก็ไม่ใช่รดเช้าเย็น เราต้องดูด้วยว่า พืชต้องการน้ำมั้ย เข้าใจธรรมชาติของพืชที่เราปลูก เพราะพืชบางชนิดไม่ได้ต้องการน้ำมาก ถ้าให้เยอะๆ ก็เหมือนคนกินน้ำแล้วสำลักน้ำ ถ้าเป็นพืช รากก็จะเน่า ดังนั้นความรัก จึงไม่ใช่การให้อย่างเดียว

อีกเรื่องในการแสดงความรักคือ ต้องไม่ให้ดินสกปรก ส่วนใหญ่เรามักจะเข้าใจว่า ถ้าอยากให้พืชเจริญเติบโต ต้องใส่ปุ๋ย เพราะพืชจะดูดธาตุอาหารจากดินไปหมด เราเลยต้องใส่ปุ๋ย แล้วจุดนี้แหละที่ทำให้ดินสกปรก และนั่นแปลว่าเราไม่ได้ให้ความรักกับดิน กับพืชที่เราปลูก หรือแม้แต่น้ำหมักก็ทำให้ดินสกปรกเหมือนกันนะครับ ซึ่งที่ MOA เราจะไม่ใช้แนวทางนี้

เราจะทำให้ดินบริสุทธิ์ เน้นการปรับปรุงดิน ให้มีแร่ธาตุตามธรรมชาติ

และที่สำคัญคือเน้นในเรื่องของพลังธรรมชาติ พลังแห่งความรัก (เปิดรูปหัวไชเท้าให้ดู) นี่หัวไชเท้า รูปนี้ปลูกปกติ  มันจะโตไม่สม่ำเสมอ ดูสั้นๆ เหมือนไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่รูปนี้ ดูสมบูรณ์กว่า เพราะเราทดลองด้วยวิธีอะไรรู้มั้ยครับ ด้วยการให้คนด่า (ยิ้ม) ใส่พลังงานที่ไม่ดีไปที่พืช แล้วพืชก็ออกมาแคระแกร็นจริงๆ เมื่อเทียบกับอีกแบบ ที่ให้คนปลูกพูดดีๆ พูดเพราะๆ กับผักที่ปลูก ใส่ใจให้มาก นี่แหละคือความรัก เรื่องพลังงานเหล่านี้ เคยมีคนทำงานวิจัยในเรื่องของน้ำที่มีผลึกสวยงาม เพราะมีการสวดมนต์ หรือมีพลังงานที่ดีอยู่โดยรอบอย่างสม่ำเสมอ

ต้องเสริมอีกอย่างว่า ความรัก มันแสดงออกได้หลายรูปแบบ เช่น พูดดีๆ ใช้วาจาดีๆ หรือแสดงออกด้วยการเอาใจใส่ เช่น รดน้ำอย่างเข้าอกเข้าใจว่าพืชต้องการหรือไม่ต้องการน้ำมากแค่ไหน หรือกระทั่งการมีระยะห่างของต้นไม้ก็สำคัญ เพราะบางทีเราอยากจะปลูกพืชให้ได้เยอะๆ แล้วมันก็ไปอัดแน่นจนอากาศไม่ถ่ายเท มันก็เหมือนเวลาเราบอกว่ารักใครสักคน แต่ไม่มีระยะห่างให้กันเลย ให้มาอยู่รวมกันในที่แคบๆ แน่นๆ มันก็ไม่ไหว หายใจไม่ออก ฉันใดฉันนั้น เราปลูกพืชแบบไหน เราก็ต้องเข้าใจ เราต้องให้ความรักในแบบที่เหมาะสมกับเขาด้วย

ทีนี้เรื่องเกษตรอินทรีย์บ้าง มันต่างกันยังไง

เกษตรอินทรีย์ หลักการคือไม่เอาสารเคมี แต่ยังใส่ปุ๋ยอินทรีย์ ใส่น้ำหมักชีวภาพ ใส่ฮอร์โมนเพื่อปรับปรุงดิน เพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช และสร้างระบบนิเวศในแปลง นี่คือเกษตรอินทรีย์ทั่วไปที่ทำกัน ไม่ได้แปลว่าไม่ดี แต่พอถึงจุดหนึ่ง เมื่อเราเริ่มใส่ปุ๋ยหมักทุกครั้งที่ปลูก สิ่งเหล่านี้มันจะไปสะสมในดิน เพราะมันไม่ได้ย่อยสลายไปหมด พอนานๆ เข้า สิ่งที่หมักหมมก็จะก่อให้เกิดโรคและแมลง เหมือนคนที่กินไม่ดี นานวันก็เป็นโรคนั่นแหละ ดังนั้นเกษตรธรรมชาติจะไม่ใส่อะไรแบบนี้เลย นอกจากการปรับปรุงดินในช่วงแรก หรือช่วงเริ่มต้นในการปลูก เราจะใช้แค่ปุ๋ยหมักใบไม้ ใช้แค่ช่วงแรกเพื่อให้ดินนุ่ม หรือปรุงดิน

ปุ๋ยแบบนี้เราเรียกว่าปุ๋ยเจ คือไม่มีมูลสัตว์เลย ถ้ามีมูลสัตว์หมัก เราเรียกว่าปุ๋ยคอก การใส่ปุ๋ยหมักใบไม้ก็เพื่อให้ดินร่วนซุย มีอากาศถ่ายเทได้ ทำให้ดินมีความชื้น และนุ่มลง

นอกจากนั้นเราก็จะทำให้ดินมีอุณหภูมิที่พอเหมาะ เพราะถ้าดินเย็นเกินไป ดินจะแข็ง ดังนั้นประโยชน์ในการใส่ปุ๋ยหมักตามแนวทาง MOA ก็คือ ไม่ใช่ใส่เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน เหมือนการทำปุ๋ยสูตรต่างๆ ซึ่งในที่สุดมันจะมีผลกับต้นไม้ เพราะมันจะดูดซึมสารอาหารแบบใดแบบหนึ่งมากเกินไป แล้วทีนี้ก็มีผลกับคนกินอีก เช่น ผลไม้ไม่มีความแน่น ไม่ตึงเท่าที่ควร กินแล้วไม่อร่อย การปรุงดินของเราคือช่วยในเรื่องกายภาพ ไม่ใช่เพิ่มธาตุอาหาร เหตุผลที่ทำแบบนี้ เพราะเราต้องการให้รากของพืชเจริญเติบโต ไชชอนไปหาอาหารได้ เพราะอาหารมันอยู่ในดินอยู่แล้ว ถ้ารากมันเดินไปได้เยอะ มันก็ไปหาอาหารได้เยอะ แต่ถ้าดินแข็ง รากเดินไม่ได้ มันก็จะหาอาหารได้ในจุดแคบๆ แปลว่าเมื่อเราปลูกพืชไปแล้วพืชดูดอาหารได้แค่ในพื้นที่จำกัด สารอาหารมันก็ต้องมีวันหมด เราก็ต้องเติมอาหารกันอีก แต่ถ้าดินดี รากไปได้ไกล มันก็ไปดูดอาหารตรงที่อื่นได้ เพราะอาหารมันมีอยู่ในดินอยู่แล้ว

แต่ส่วนใหญ่เราไม่ได้คิดว่า จะทำยังไงให้รากไชชอนไปได้ไกล เราไปมองแค่การทำให้มีสารอาหารอยู่ตรงบางจุดเท่านั้น โดยการเติมอาหารให้ เติมปุ๋ยให้ ดังนั้นรากก็จะหาอาหารอยู่แค่แถวนี้ ดังนั้นรากของพืชที่ปลูกตามแนวเกษตรธรรมชาติจะยาวมาก ลึกมาก แผ่มาก สุดท้าย เราแทบไม่ต้องใส่อะไรบำรุงเลย แต่เกษตรแบบอื่นยังต้องใส่ตลอดนะ เพราะยังมีแนวคิดว่าจะเพิ่มธาตุอาหารให้ อย่างไรก็ตาม เกษตรธรรมชาติไม่ใช่ปล่อยไปตามธรรมชาติอย่างเดียว บางครั้งมนุษย์ก็ต้องช่วยปรับดินด้วย ไม่ใช่ให้ต้นไม้ขึ้นเลยตามเลย เช่น ถ้าฝนตกหนัก ดินก็จะแน่น เราก็ต้องไปพรวนหน้าดินบ้าง เพื่อให้ดินร่วน

เคสของเกษตรกรที่มาอบรม มีเคสไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจบ้าง

เกษตรกรบางคนที่มาเรียนกับเรา เขาเปลี่ยนแนวคิดเลยเหมือนกันนะ เขาบอกว่าเมื่อก่อน เขาก็คิดเรื่องทำยังไงให้ผลผลิตมีเยอะๆ จะได้ขายได้เยอะๆ ทีนี้พอเขาอยากได้เยอะ เขาก็ยิ่งแสวงหาวิธีมาทำให้เพิ่มผลผลิต แม้จะไม่ได้ใช้ปุ๋ยเคมี แต่ก็ต้องหาอย่างอื่นมาทดแทน แต่พอมาทำเกษตรธรรมชาติ เขากลับมองว่า มันไม่ใช่การไปเอาจากธรรมชาติ แต่เราต้องให้กับธรรมชาติ หรือคล้อยตามและเคารพธรรมชาติด้วย แปลว่า เมื่อเราปลูกแล้วได้ประมาณนี้ เราก็ต้องยอมรับว่า ดินเราสภาพแบบนี้นะ ผลผลิตมันก็จะได้แค่นี้ มันทำให้เขาไม่โลภ ไม่คิดจะไปควบคุมธรรมชาติ เพราะคนเราทำไม่ได้หรอก

เราทำได้มากที่สุดคือเอื้อให้ธรรมชาติ หรือจัดสภาพแวดล้อมให้ แต่ผลจะเป็นยังไงก็ต้องยอมรับ เพราะเราก็ทำดีที่สุดแล้ว ดูแลดีที่สุดแล้ว

ที่สำคัญ ก่อนหน้านี้ถึงจะไม่ใช้สารเคมีบำรุงพืช แต่เขาก็ใส่แต่มูลสัตว์ ซึ่งทำให้มีหนอนมากินพืชเยอะมาก เพราะหนอนมันมากับมูลสัตว์ เขาเลยทดลองทำอีกแปลงที่ไม่ใส่อะไรเลย ผลคือหนอนไม่ลง เขาก็เลยเริ่มเข้าใจมากขึ้น หลังจากนั้นก็ไม่ใส่อะไรแล้ว ผลผลิตก็ออกมาดี น้ำหนักเยอะ ขายได้ราคา

คนหันมาทำการเกษตรมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงนี้ คุณอยากเติมประเด็นอะไรให้กับคนสนใจการเกษตรบ้าง เพราะอาจจะมีบางเรื่องที่เขามองข้ามไป

ถ้าเป็นผู้บริโภคที่อยากมาทำการเกษตร ก็ต้องมองศักยภาพตัวเองก่อน ถ้าในกรณีที่มีรากเหง้าหรือครอบครัวเคยทำการเกษตรมาก่อน แต่ตัวเองไม่เคยทำ เพราะมาทำงานในเมือง เนื่องจากพ่อแม่ไม่อยากให้ลูกลำบาก อยากให้เรียนสูงๆ แล้วมาทำงานในเมือง คนเหล่านี้ถือว่าพอจะมีฐานที่เชื่อมโยงการเกษตรได้บ้าง การกลับไปทำการเกษตรอาจจะไม่ยากเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นผู้บริโภคแบบ 100 เปอร์เซ็นต์เลย ไม่เคยทำเกษตรมาก่อนนี่แหละที่มันจะยาก เพราะไม่มีความคุ้นเคยเลย โดยเฉพาะการใช้แรงงานนี่คือเรื่องหนัก

ดังนั้นถ้าจะทำ ต้องสำรวจศักยภาพตัวเองก่อนเลยว่าเป็นยังไง ถ้าทำไม่ไหว เราต้องเริ่มทำจากสิ่งเล็กๆ คือไม่ใช่ว่าไม่ให้ทำ แต่ทำในปริมาณที่พอทำได้ ไม่กี่ตารางวาก็พอ เอาดินมาลงแปลง แล้วเอาฟางมาปูทับ เดี๋ยวมันก็จะย่อยสลายไป ไม่จำเป็นต้องเอาดินมาเติมเรื่อยๆ ส่วนพืชผักในแปลงก็ย่อยกลายเป็นดินต่อไปได้ หรือไม่ก็ปลูกปอเทืองก่อน ตัดต้นแล้วเอามาใส่ดิน ส่วนรากก็ยังอยู่ ปล่อยไปสักพักดินก็จะย่อยพืชเหล่านี้ รากของมันก็จะทำให้ดินเป็นโพรง แล้วเราค่อยปลูกผักก็ได้ แบบนี้คือเราแทบไม่ต้องไปทำอะไรหนักเลย ใช้วิธีธรรมชาติ ดังนั้นสิ่งที่อยากเตือนคือการประเมินตัวเองก่อน

ส่วนคนที่เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว จะหันมาทำเกษตรธรรมชาติ เราก็ไม่ได้ให้คุณเปลี่ยนวิถีแบบข้ามคืนเลย สมมติก่อนหน้านี้เคยปลูกพืชสิบไร่ ใช้แต่เคมี คุณก็ลองค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ปรับแบ่งบางส่วนมาทำเกษตรธรรมชาติก่อน ดูความแตกต่างก่อน พอมั่นใจแล้วค่อยขยายพื้นที่ ทำไปเล็กๆ ก่อน เหมือนการระเบิดจากภายใน ทำจากจุดเล็กๆ แล้วค่อยๆ เพิ่ม เพราะถ้าเปลี่ยนปุบปับมันจะกระทบกับรายได้ แล้วถ้าอยู่ ๆ เปลี่ยนไปทำเกษตรธรรมชาติเลย ก็ต้องรอทุกอย่างตามธรรมชาติอีก เช่นกว่าดินจะกลับสู่สภาพที่เหมาะสม ปลูกทุกอย่างได้ ก็อาจจะต้องรอเวลา แล้วจะเอาเงินที่ไหน

คุณคิดว่าในประเทศเรา มีความเหมาะสมอย่างไร ที่จะทำเกษตรธรรมชาติแบบที่ว่า

ประเทศไทยเป็นประเทศที่นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรธรรมชาติของ MOA ประเทศญี่ปุ่น บอกว่าเป็นประเทศที่เหมาะกับการทำเกษตรแบบธรรมชาติมากที่สุดในบรรดาทุกประเทศแถบเอเชีย เพราะบ้านเรามีอุณหภูมิที่พอเหมาะ มันร้อนก็จริง แต่มันเหมาะกับการปลูกพืช เพราะแสงแดดมีผลต่อการย่อยสลายของอินทรียวัตถุ เช่น เราเอาฟางหรือใบไม้คลุมดินไว้ ปลูกผักไปยังไม่ทันเก็บผักเลย ฟางพวกนี้ก็ย่อยสลายไปเกือบหมดแล้ว แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่นนี่อาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะย่อยหมด แปลว่า ถ้าย่อยไม่หมด มันจะมีแมลงอยู่ข้างล่างแล้วมันก็จะมากัดกินพืชเรา กินรากของพืชอีก แต่ถ้ามันย่อยเร็วมันก็จะกลายเป็นปุ๋ย

นอกจากนั้น การที่มีอากาศร้อน ดินเราก็จะอ่อนนุ่มและมีความชื้นที่พอเหมาะ พืชจะสามารถดูดน้ำได้ทั้งจากข้างล่างและข้างบนได้ แต่ญี่ปุ่นมีอากาศเย็น เลยเป็นที่ชื่นชอบของแมลงและเชื้อโรค เพราะมันเติบโตได้ดีในอากาศเย็น

ที่เมืองไทยจึงเหมาะกับการทำเกษตรธรรมชาติ คือแทบไม่ได้ต้องใส่ปุ๋ยอะไรเลย ก็สามารถทำได้

แต่ญี่ปุ่นนี่พออากาศเย็น จุลินทรีย์ก็ไม่ทำงาน ดินก็แข็งอีก การทดลองการเกษตรหลายๆ เรื่องของเราเป็นต้นแบบให้กับญี่ปุ่นด้วยนะครับ เพราะอย่างที่บอกว่า พออินทรียวัตถุย่อยสลายมันก็เป็นอาหารในดินอยู่แล้ว แต่ญี่ปุ่นมันไม่ย่อยไง มันใช้เวลานานกว่า ดังนั้นเมื่อเราปลูกวิธีนี้มันเลยเห็นผลเร็วกว่าที่อื่น

คุณคิดยังไงที่คนบอกว่า ภาวะโลกร้อน จะทำให้เกิดแมลงมากขึ้น แล้วคิดว่าเกษตรตามธรรมชาติจะรอดมั้ย

คือโรคแมลง มันมีในธรรมชาติอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่เกิดขึ้นก็อย่างที่บอกคือ จากสารอาหารที่เราใส่เข้าไปในดิน เช่นมูลสัตว์ พวกนี้แหละที่จะเป็นตัวเรียกโรคกับแมลงมา คือถ้าไม่มีเหตุ มันก็ไม่มีผล ถ้าเราตัดเหตุปัจจัยนี้ทิ้ง โรคแมลงก็ไม่มา เพราะแมลงไม่ใช่อยู่ๆ จะมา แต่เป็นเพราะมันได้กลิ่น มันก็ตามกลิ่นมา ถ้าไม่อยากให้แมลงมา ก็ตัดปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่น คือไม่เติมอาหาร เช่น มูลสัตว์  ทีนี้พืชก็เหมือนคน ถ้ามันแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่ดี เชื้อโรคมานิดๆ หน่อยๆ มันก็สู้ไหว พืชมันก็ป้องกันตัวเองได้

การที่ต้องทำเรื่องเกษตรธรรมชาติ เห็นข้อดีมากมาย แต่เมื่อมาเห็นผักในท้องตลาดที่สุ่มตรวจเมื่อไหร่ก็มีสารเคมี คุณรู้สึกยังไง

สุดท้าย มันอยู่ที่เรื่องจิตใจของคนปลูกนี่แหละ เพราะถึงแม้จะมีมาตรการป้องกัน มีกฎหมายบังคับ คนก็ยังทำ เพราะเขาไม่มีจิตสำนึกและความตระหนักอยู่ข้างใน ที่เป็นต้นทางในการทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ซึ่งจะว่าไป สิ่งเหล่านี้ต้องมีในคนปลูกและคนกินด้วย ดังนั้นเราจะทำยังไงให้ปลูกจิตสำนึกตรงนี้ได้ ทาง MOA เลยมุ่งที่จะปรับเปลี่ยนจิตสำนึกแล้วให้มีความตระหนักในเรื่องนี้ โดยเริ่มจากผู้ผลิตก่อน แล้วค่อยมาผู้บริโภค ต้องไปพร้อมๆ กัน ถามว่า ทำยังไง ก็เช่น เราจะจัดตลาดให้ผู้ผลิต ผู้บริโภคมาเจอกัน หรือพาผู้บริโภคไปเยี่ยมผู้ผลิต ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่ง นอกจากนั้นก็ให้ความรู้กับผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ เพื่อทำให้ผู้บริโภคตระหนักในเรื่องนี้และเห็นคุณค่าของอาหาร จากนั้นเขาก็จะเลือกซื้อผลผลิตที่ไม่มีการใช้ปุ๋ย หรือ สารเคมีต่อไป

วิธีคิดที่อยากฝากไว้ ในยุคนี้ที่คนเจอความท้าทายมากมายในชีวิต คิดว่าอะไรที่จะทำให้เรารอดได้อย่างยั่งยืน

มันคือความสมดุล การที่เกิดโควิด ก็เกิดจากโลกเราขาดความสมดุล และโลกก็กำลังจะปรับให้กลับมาสู่ความสมดุลเหมือนเดิม ถ้าต้องยอมรับความจริงกันบ้างก็คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในเวลานี้ เพราะโลกพยายามจะปรับ เช่น ตอนนี้คนหยุดการเดินทาง หยุดการสร้างมลพิษ เป็นต้น

หลักการของ MOA เชื่อว่า โลกเราก็มีชีวิต โลกเลยต้องการรักษาตัวเองให้อยู่ อะไรที่มันเกิน โลกก็ต้องปรับตัวด้วยการตัดออกไป

แล้วเราจะทำยังไงเพื่อไม่ให้โลกตัดเราออกไปด้วย เราก็ต้องใช้ชีวิตแบบคล้อยตามและเคารพธรรมชาติ ซึ่งมันก็จะเชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องจิตใจและจิตวิญญาณ  เพราะเราเชื่อว่า การทำงานแบบนี้ เพราะอยากให้คนอื่นมีความสุข ถ้าเราไม่สามารถทำให้คนอื่นมีความสุข ตนเองย่อมไม่อาจมีความสุข ซึ่งเป็นแนวคิดหลักหรือสโลแกนเราเลย เพราะท่านโอกาดะที่เป็นผู้ก่อตั้งเคยบอกว่า ทุกวันที่ตื่นนอนมา ท่านต้องดูคนในครอบครัวก่อน ว่าทุกคนเป็นยังไงบ้าง อารมณ์ดีมั้ย ถ้ามีคนในบ้านอารมณ์เสียแค่คนเดียว ท่านก็ไม่สบายใจแล้ว เพราะท่านอยากให้ทุกคนมีความสุข เพราะความสุขของคนอื่นก็คือความสุขของเรา

คำว่าใช้ชีวิตให้สมดุล มันจะเป็นรูปธรรมยังไง

เช่นง่ายๆ เลย เรื่องการกินอาหาร เราก็ต้องไม่กินมากเกินไป กินแต่พอดี กินตามหลักเกษตรธรรมชาติ ซึ่งเรามีหลักว่า ธรรมชาติสร้างมนุษย์ให้มีฟัน ซึ่งประกอบไปด้วย ฟันกราม ฟันเขี้ยว ฟันหน้า เรามีฟันกรามไว้บดข้าว บดอาหาร เราก็ต้องกินข้าว กินธัญพืช ซึ่งเรามีหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าดีกับสุขภาพ ด้วยการกินข้าว 5 ส่วน และธัญพืช 1 ส่วน นอกจากนั้นเรามีฟันหน้า เอาไว้ฉีกผัก ก็ให้กินผัก 3 ส่วน ผลไม้อีก 2 ส่วน ทีนี้ฟันอีกแบบ คือเขี้ยว เอาไว้ฉีกอาหาร แปลว่าเราก็ควรกินเนื้อสัตว์อีก 1 ส่วน หลักการกินอย่างสมดุลจึงมีแค่นี้ ไม่ใช่กินเนื้อสัตว์มากกว่าผักแบบที่เราเป็นอยู่

เอาละ เรื่องกินอาหารแล้ว ก็มาเรื่องอารมณ์ คือต้องมีอารมณ์ที่ดี ซึ่งมาจากการพักผ่อนที่ดี ไม่ใช่แค่นอนให้พออย่างเดียว แต่เราต้องออกไปชื่นชมธรรมชาติ หรือที่ MOA ก็คือการเรียนจัดดอกไม้ หรือไปเป็นอาสาสมัคร ทำในสิ่งที่จรรโลงจิตใจ เพราะเมื่อเราช่วยใคร เราก็จะมีความสุข ความประทับใจ ตื้นตันใจ นอกจากนั้นก็คือ ให้ความสำคัญเรื่องการออกกำลังให้สุขภาพดีเสมอ ผมเองก็น้ำหนักลงเยอะมาก เพราะเน้นการเคลื่อนไหว ขยับร่างกายให้เยอะ เดินให้เยอะ แค่นั้นละครับ

ภาพถ่าย: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร, MOA Thailand