
ในยุคที่โลกต้องเผชิญภาวะโลกเดือด ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และแรงกดดันด้านทรัพยากร เทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะ “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ได้กลายมาเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่สามารถพลิกโฉมเศรษฐกิจและวิถีชีวิต “สีเขียว” ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการผลิตสินค้า บริการ หรือการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในมิติที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จะพาไปดูบทบาทของ AI ทั้งในแง่ “โอกาส” และ “ข้อจำกัด” โดยเฉพาะประเด็นด้านพลังงานและคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ยังคงเป็นเรื่องถกเถียงในปัจจุบัน
โอกาสของ AI ด้านความยั่งยืน
รายงานของ UNCTAD (2024) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัล (Digitalization) ไม่ใช่เพียงกระแสของเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมได้ด้วย หากเราประยุกต์ใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่อย่าง AI, IoT, Cloud Computing, Big Data ร่วมกับแนวทาง Circular Economy และ Life-Cycle Assessment อย่างตั้งใจ รายงานชี้ว่า เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ผ่านหลายทาง เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและระบบขนส่ง การจัดเส้นทางโลจิสติกส์ที่เหมาะสมซึ่งช่วยลดคาร์บอนจากการขนส่ง รวมถึงการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทรัพยากรน้อยลงและสามารถนำไปรีไซเคิลได้ดีขึ้น

หนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือ การนำ AI มาใช้ในการทำเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ซึ่งเป็นรูปแบบการเกษตรที่นำเทคโนโลยีและการจัดการข้อมูลมาใช้บริหารจัดการฟาร์มให้มีความเหมาะสมและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยการผลิต ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และช่วยรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน เทคโนโลยีที่ใช้ ได้แก่ โดรน เซ็นเซอร์ ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีสารสนเทศอื่น ๆ เพื่อเก็บรวบรวม วิเคราะห์ และประยุกต์ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจทางการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกษตรกรสามารถให้น้ำหรือปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม ตรงเวลา ลดการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำเป็น และลดการปล่อยก๊าซจากการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีเกินความจำเป็น
อีกตัวอย่างคือการใช้ AI และ Big Data ในการจัดการอาคารอัจฉริยะ (Smart Buildings) โดยให้ระบบปรับความเย็น ความสว่าง หรือการจัดฟังก์ชันการใช้งาน เป็นไปตามการใช้งานจริง ซึ่งย่อมช่วยประหยัดพลังงานได้ตรงจุด และลดคาร์บอนฟุตพรินต์ของอาคารได้อย่างมีนัยสำคัญ

ด้วยหลักฐานเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่า AI และเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่เพียง “ตัวเลือกเสริม” แต่เป็นกลไกที่สามารถแปลงเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจสีเขียว ยิ่งหากมีการใช้ร่วมกับนโยบายสนับสนุนที่เพียงพอ มาตรฐานการวัดผลที่ชัดเจน และการออกแบบที่คำนึงถึงผลกระทบตั้งแต่ต้นทางจนปลายทาง ก็จะทำให้มนุษย์ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
AI อาจเป็นพระเอกตัวจริงที่แฝงด้านมืด
การผลิตอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ ไปจนถึงความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Centres) และการใช้เครือข่ายด้านการสื่อสาร (ICT networks) รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบ Cloud และระบบประมวลผลข้อมูล ซึ่งล้วนเป็นกิจกรรมหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำนี้ มีการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมหาศาล โดยภาคอุตสาหกรรม ICT เพียงอย่างเดียวมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 0.69–1.6 กิกะตันต่อปี หรือราว 1.5–3.2% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก นอกจากนี้ งานวิจัยของ MIT ยังพบว่า การเทรนโมเดล AI ขนาดใหญ่ เช่น GPT-3 ใช้พลังงานเทียบเท่ารถยนต์หนึ่งคันวิ่งรอบโลกถึง 700,000 ไมล์ แสดงให้เห็นว่า หากไม่มีการควบคุม การเติบโตของ AI อาจยิ่งเพิ่มภาระสิ่งแวดล้อม

อีกด้านหนึ่ง อุปกรณ์ดิจิทัลยังต้องพึ่งพาแร่และวัสดุหายาก เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และกราไฟต์ ซึ่งส่งผลต่อการสกัดและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม UNCTAD ยังระบุว่า วัสดุดิบและอุปกรณ์เหล่านี้สร้างของเสียอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และการจัดการปลายทาง (end-of-life) ยังคงไม่เพียงพอนับถึงปัจจุบัน
ประเทศที่ยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแรงหรือยังไม่มีนโยบายรองรับ จึงอาจไม่สามารถรับประโยชน์จาก AI ได้เต็มที่ เพราะส่วนใหญ่ยังต้องนำเข้าอุปกรณ์หรือเทคโนโลยี ซึ่งอาจมีต้นทุนด้านการพัฒนาและการปรับใช้สูง รวมถึงยังต้องรับภาระด้านสิ่งแวดล้อมจากของเสียที่เกิดจากการผลิตอุปกรณ์หรือจากการสกัดวัสดุในประเทศของตนเอง
มีความเป็นไปได้ว่า ยิ่งเทคโนโลยีช่วยทำให้บางกิจกรรมสะดวกขึ้น ก็อาจมีการใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นในส่วนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างเช่นการใช้บริการออนไลน์ที่มากขึ้น การส่งสินค้าถึงบ้านที่มากขึ้นอย่างทวีคูณโดยเฉพาะหลังโควิด-19 หรือความต้องการใช้ศูนย์ข้อมูลที่สูงขึ้น ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นตัวหักล้างประโยชน์ด้านการประหยัดพลังงานที่ AI มอบให้

ทำอย่างไรให้ “ได้” มากกว่า “เสีย”
เพื่อให้ AI เป็นพลังบวกต่อสิ่งแวดล้อม เราจำเป็นต้องออกแบบและใช้งานอย่างรอบคอบ โดยมีแนวทางสำคัญ ดังนี้
- นโยบายและมาตรฐานสีเขียว (AI Governance & Green Regulation) การมีกฎเกณฑ์ที่กำหนดให้ศูนย์ข้อมูลและอุปกรณ์ ICT ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงข้อบังคับเรื่องการจัดการ e-waste เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง
- เศรษฐกิจดิจิทัลหมุนเวียน (Circular Digital Economy) ส่งเสริมการพัฒนาอุปกรณ์ที่ทนทาน ซ่อมแซมได้ง่าย รีไซเคิลง่าย และใช้วัสดุที่ไม่เป็นพิษ รวมถึงการสร้างนวัตกรรมอย่างบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะที่ช่วยลดของเสียและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและทักษะ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องการทั้งโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการพัฒนาทักษะด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเข้าถึงประโยชน์จากเทคโนโลยีได้จริง
- ความร่วมมือระดับโลก ประเทศต่าง ๆ ควรแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ลงทุนวิจัยร่วมกัน และกำหนดมาตรฐานสากล เพื่อให้ AI ถูกใช้ในทิศทางที่ยั่งยืนและเท่าเทียม
AI และเทคโนโลยีดิจิทัลคือพลังที่จะกำหนดทิศทางอนาคตสีเขียวของโลก ไม่ใช่เพียงเครื่องมือที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานหรือเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรม โมเดลธุรกิจ และโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

อย่างไรก็ตาม พลังนี้จะสร้างคุณค่าได้จริงก็ต่อเมื่อเรามีวิสัยทัศน์และการจัดการที่รอบด้าน ทั้งเรื่องพลังงาน ทรัพยากร และผลกระทบที่มองไม่เห็น หากสามารถวางนโยบายที่ชัดเจน ลงมืออย่างจริงจัง และร่วมมือกับนานาชาติ เราจะไม่เพียงใช้ AI เป็น “เครื่องมือ” แต่จะทำให้กลายเป็น กลไกหลักของเศรษฐกิจสีเขียวสร้างสรรค์ ที่ทั้งยั่งยืนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับโลก
ที่มาข้อมูล:
– www.unctad.org
– www.uac.co.th
– www.datacamp.com
– www.today.line.me
– www.news.mit.edu



