ในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาลจากปลายฝนเข้าสู่ต้นหนาว อากาศกำลังจะเย็นลง ในทางการเกษตรธรรมชาติบอกว่า โลกจะหายใจเข้าออกปีละครั้ง และช่วงนี้เป็นเวลาที่โลกกำลังหายใจเข้า ทำให้ความอบอุ่นถูกดูดเข้าไป ความหนาวเย็นจึงเข้าปกคลุมหลายพื้นที่ทั่วโลก และเมื่อถึงฤดูร้อนโลกก็จะหายใจออก ปล่อยความอบอุ่นออกมาสู่พื้นผิวโลก ซึ่งในปัจจุบัน ก็มีสำนักข่าวต่างประเทศเผยแพร่ภาพของนาย จอห์น เนลสัน โปรแกรมเมอร์จากรัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ใช้ภาพจากองค์การบริหารการบินและอวกาศ หรือ NASA ที่ถ่ายภาพจากอวกาศในแต่ละฤดูกาลมาเรียงต่อกัน ก็จะเห็นเป็นภาพของการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลของโลกแต่ละปีในช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างการหดขยายของพื้นที่ที่มีหิมะสีขาวปกคลุมในฤดูหนาว สลับกับพื้นที่สีเขียวในฤดูร้อน ที่เห็นว่าโลกนั้นกำลังหายใจอยู่จริงๆ

และเมื่อเราได้เห็นแล้วว่าโลกหายใจได้ เราก็จะพบว่าลมหายใจของโลกก็คือส่วนหนึ่งของการหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต ในการทำสวน ลมหายใจของโลกก็เป็นอาหารหรือปุ๋ยอย่างหนึ่งให้กับต้นไม้เช่นกัน

เพราะอากาศไม่เพียงแต่นำพาความอบอุ่นมาให้ แต่ยังมาพร้อมกับไอน้ำและก๊าซต่างๆ ที่ประกอบไปด้วยแร่ธาตุสารอาหารต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฏจักรของชีวิตในระบบนิเวศ ในทางการเกษตรเราจึงควรทำให้ลมหายใจแห่งโลกนี้ได้ไหลเวียนผ่านผืนดิน พืชพรรณ และสรรพชีวิต สู่ท้องฟ้า และหยาดหยดโปรยปรายกลับคืนมาสู่ผืนดินเช่นนี้อยู่เสมอ จึงจะเป็นสวนที่มีชีวิตและอุดมสมบูรณ์

การต้อนรับลมหายใจครั้งใหม่ของโลกในสวนของเรา ทำได้ง่ายๆ โดยการหมุนเวียนกลับคืนชีวิตให้กับผืนดิน ให้เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วย ‘ฮิวมัส’ ที่ได้จากซากพืชซากสัตว์หรืออินทรียวัตถุที่ผุพังย่อยสลายดีแล้ว ในทางปฏิบัติฮิวมัสจะได้จากการใส่ปุ๋ยหมัก การไถพรวนกลบเศษพืชสด และ/หรือ ปุ๋ยคอก ลงในดิน ฮิวมัสนั้นเป็นสารที่คล้ายกับเจลหรือเมือกลื่นสีออกน้ำตาลไปจนถึงสีดำคล้ำที่เป็นของผสมระหว่างน้ำอากาศและแร่ธาตุ ซึ่งก็เกิดจากสรรพชีวิตเล็กๆ มากมายทั้งไส้เดือน สัตว์ในดิน และจุลินทรีย์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ทั้งภายในและรอบๆ ฮิวมัสนั้นเอง คุณสมบัติของฮิวมัสนี้เองที่ช่วยทำให้หินแร่ที่เป็นองค์ประกอบต่างๆ ในดินไม่เกาะหรือจับตัวเป็นก้อนแข็ง และเกาะตัวกันเป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ เชื่อมติดกันอย่างหลวมๆ ทำให้เกิดช่องว่างให้ลมหายใจแห่งโลกได้นำพาน้ำและอากาศผ่านลงไปในดิน และมีที่เก็บกักและโอบอุ้ม ตลอดจนระเหยและระบายแผ่ออกไป ให้มีอย่างเพียงพอต่อกระบวนการแห่งชีวิตในดินได้ คุณค่าของฮิวมัสเช่นนี้เอง ที่ทำให้บุรพาจารย์ทั้งหลายของการเกษตรวิถีธรรมชาติให้ความสำคัญกับฮิวมัสว่าเป็นแก่นแท้แห่งชีวิต

เช่นเดียวกันกับบนพื้นผิวโลก เราก็สามารถที่จะร่วมยินดีต้อนรับลมหายใจครั้งใหม่ได้ด้วยการเปิดทางให้สายลมได้พัดผ่านพื้นที่สวนของเราได้โดยปลอดโปร่ง การตัดแต่งกิ่งก้านที่เคยออกลูกออกผลไปแล้ว รวมไปถึงการริดใบและกิ่งที่บดบังไม่ให้แสงแดดส่องได้อย่างทั่วถึงและทำให้อับชื้น ตลอดจนกิ่งก้านใบที่อ่อนแอและเป็นโรค จะช่วยให้อากาศถ่ายทได้ดีขึ้นในทรงพุ่มและในสวน ลดโอกาสการซ่องสุมของแมลงที่มาคอยกินพืชและการเกิดจุลินทรีย์ที่ก่อโรคต่างๆ ของพืชได้ ทำให้สวนของเรามีสุขภาพดีอยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ได้

และท้ายที่สุด เราก็ควรเลือกการคล้อยตามจังหวะของธรรมชาติหรือฤดูกาล ที่เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละฤดูที่มีสภาพอากาศและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แตกต่างกันออกไป พืชพรรณต่างๆ ที่งอกงามนั้นก็หลากหลายแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นโอกาสที่เราจักได้เรียนรู้การปลูกพืชตามฤดูกาลอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเข้าสู่เหมันตฤดู ก็ถึงเวลาของพืชพรรณที่ชอบอากาศเย็น ในสวนผักของเราก็กำลังจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกผักเมืองหนาว เป็นฤดูกาลที่ใครอยากจะลิ้มลองรสชาติแห่งลมหนาว ก็สามารถหยอดหรือหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในดินได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นหัวไชเท้า เทอร์นิพ แครอท ถั่วแขก ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี่ คะน้า ชุนฉ่าย กวางตุ้งฮ่องเต้ ปวยเล้ง หรือจะเพาะต้นกล้ามาย้ายลงแปลงหรือภาชนะปลูก เช่น ผักกาดหอมหรือผักสลัดชนิดต่างๆ มะเขือเทศ พาร์สลีย์ ขึ้นฉ่าย เซเลอรี เป็นต้น เมื่อพืชพรรณเหล่านี้งอกเงยและได้รับลมหนาว ก็จะเติบโตได้อย่างงอกงามบนผืนดินอันอุดม เป็นของขวัญแห่งฤดูกาล เป็นความสุขที่เราปลูกได้ในบ้านของเราเอง

มาเตรียมดินดีๆ แล้วมาลองปลูกผักต้อนรับลมหนาวกันครับ แล้วคุณจะรู้ว่าความสุขที่คุณเองก็ปลูกได้นั้น ทำได้จริงๆ

ภาพประกอบ: npy.j