ธรรมชาติมีพลังมหัศจรรย์ซุกซ่อนอยู่อย่างเหลือล้น หากไม่ลองเปิดใจรับ จะไม่มีทางรู้ได้เลย ดังเช่นนิจ- สรวีย์ เอื้อผดุงเลิศ เจ้าของผลิตภัณฑ์สุขภาพแบรนด์ Botanic Pantry ผู้ที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งจากภายในเมื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายได้เชื่อมต่อกับพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และค้นพบว่าเราและโลกใบนี้ล้วนเป็นพลังงานที่เกื้อกูลกันและกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

ชีวิตทางเลือกที่เราเลือกได้

ครั้งแรกที่ได้พบกัน ฉันประทับใจดวงหน้าสวยใส ดวงตาอิ่มน้ำเป็นประกายอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นความงามที่สะท้อนออกมาจากภายในอย่างแท้จริงโดยแทบไม่ต้องอาศัยเครื่องสำอางใดๆ แต่งแต้ม จนไม่น่าเชื่อว่าเธอเติบโตมาด้วยสุขภาพที่ไม่ค่อยแข็งแรงมาโดยตลอด “ตอนเด็กๆ เป็นคนที่ป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา แต่ก็ยอมรับนะว่านี่คือร่างกายของเรา” เธอเล่ายิ้มๆ การเรียนรู้เพื่อมีชีวิตอยู่กับอาการภูมิแพ้เรื้อรังและหมอนรองกระดูกเสื่อมตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“ที่บ้านเรามองเรื่องทางเลือกเป็นหลัก เวลาเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เราจะเลือกวิธีการแบบดูแลตัวเอง ไม่ใช่รีบไปซื้อยาทันที แต่การอยู่กับทางเลือกตลอดกลับทำให้เราไม่เชื่อใจในทางนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ช่วงหนึ่งคิดว่า ‘จะเอาทางหลักนี่ล่ะ’ ไปรักษาอาการภูมิแพ้และหมอนรองกระดูกเสื่อมอยู่หลายโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนหมอเลือกใช้ตัวยาที่แรงที่สุดให้ มันทำให้เราต้องตัดสินใจ หันกลับมาสู่สิ่งที่เราคุ้นเคย อาจจะด้วยเงื่อนไขของเราที่ทำให้สุดท้าย ทางออกของเราคือการใช้วิถีสุขภาพทางเลือก”

นิจเล่าว่าทางที่เลือกให้ตัวเองเป็นอย่างแรกคือโยคะ ในสมัยที่ครูโยคะยังหาได้ยากยิ่ง เธอมองหาคุณครูตามสวนลุมฯ แล้วลองจริงจังกับศาสตร์ใหม่ดูสักตั้ง แม้จะไม่ได้หายขาด แต่ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นจนทำให้ค้นลึกไปว่าโยคะคืออะไร และทางเลือกอื่นๆ มีอะไรอีกบ้าง จนมาพบกับเรื่องอาหาร ที่อยู่อาศัย และการทำสมาธิ ในเวลาต่อมา

“การเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติในตอนเริ่มต้น แต่เมื่อเราทำจนคุ้นเคย วันหนึ่งมันจะกลายเป็นเรื่องเดียวกับชีวิตไปโดยปริยาย” 

“อย่างเรื่องอาหาร มันไม่ได้เห็นผลทันที แต่เรารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายใน บางอย่างที่พลังงานเคยติดขัด มันปลดปล่อย รู้สึกดีขึ้น ได้ยินเสียงภายในของตัวเองมากขึ้น รู้สึกได้ว่าร่างกายบอกอะไรบางอย่างกับเราได้ชัดเจนขึ้น” สรวีย์ฉายภาพเก่าในอดีตด้วยความสุขผ่านการสื่อสารด้วยดวงตาว่าชีวิตที่ดีเป็นสิ่งที่เราเลือกได้จริง

รู้จักแปลงผัก รู้จักชีวิต

เมื่อได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองผ่านศาสตร์การดูแลชีวิตอย่างเป็นองค์รวม ทั้งการฝึกโยคะ เปลี่ยนแปลงอาหารการกิน เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต คำถามที่เธอคิดต่อมาคือจะทำให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นกิจวัตรธรรมดาในชีวิตประจำวันได้อย่างไร “เราคิดว่าต้องทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้นอีก สิ่งแรกที่ทำคือเปลี่ยนดาดฟ้าของบ้านที่กรุงเทพฯ ให้กลายเป็นสวนผัก ทำเต็มพื้นที่ ทำแบบไม่มีความรู้เลย แต่มันก็ขึ้นนะ (หัวเราะ) ใช้เมล็ดไม่ถูกต้องด้วยซ้ำ แต่ทำให้เราเรียนรู้ อ๋อ..เมล็ดแบบนี้ไม่ต่อพันธุ์ ต้องใช้เมล็ดอีกอย่างนะ คนเราไม่มีก้าวแรกที่เพอร์เฟกต์หรอกค่ะ แต่ก็ควรลอง และลองไปเรื่อยๆ

“ผักเป็นภาพสะท้อนของเรา ทำให้เรารู้ว่าการที่เราเป็นภูมิแพ้ เกิดจากรากเราไม่ดี คือลำไส้ไม่ดี การดูดซึมไม่ดีจึงทำให้มีปัญหาเรื่องสุขภาพ”

“เมื่อเราปลูกผัก เรารู้สึกได้เลยว่าผักกับเราเป็นสิ่งเดียวกัน เราเห็นว่าเขาโตขึ้นเพราะอะไร ไม่โตเพราะอะไร มันไม่ได้ต่างจากตัวเราเลย การปลูกผักเหมือนเป็นการเฉลยทุกอย่าง สำหรับตัวเองคิดว่าการเล่นโยคะ หรือการทำอะไรต่างๆ มา ยังไม่ตอบเท่ากับการปลูกผักต้นหนึ่งเลย เราเห็นเขาในเวลากลางวัน รุ่งเช้า กลางคืน ทุกวันมีเรื่องใหม่ๆ ที่บอกเราตลอด ตอนที่เราปลูกผัก ที่บ้านยังพูดทำนองว่ามันจะไปได้อะไรขึ้นมา แต่พอแม่ได้เริ่มเก็บผักใส่ตะกร้า ถึงได้รู้ว่าผักที่เรามี มากจนกินไม่หมดในหนึ่งวันเลย การปลูกผักในครั้งนั้นทำให้ครอบครัวเราสนใจเรื่องการทำสวนแบบไม่ใช้เคมีมากขึ้น เพราะการที่เราได้ลองปลูกผัก ตัดผักสดๆ มากิน มันฟินมาก (หัวเราะ) คือซื้อที่ไหนก็ไม่ได้แบบนี้ ตอนนี้คุณพ่อเริ่มทำสวนปลูกผักมากยิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น” รอยยิ้มบนใบหน้ายืนยันชัดเจนว่า เส้นทางที่เธอเลือกนั้นเป็นหนทางแห่งความสุขที่ไม่ส่งผลเฉพาะตนเท่านั้น หากแผ่ขยายไปยังผู้คนรอบข้างด้วยเช่นกัน

“สิ่งสำคัญที่ผักที่เราปลูกสอนเราคือ ถ้ารากไม่แข็งแรง เราย่อมเจ็บป่วย การทำให้รากผักแข็งแรงได้ต้องมาจากดินที่มีจุลินทรีย์ ไม่ต่างอะไรกับร่างกายของคน เราต้องกินอาหารที่มีจุลินทรีย์ดี”

“ในสมัยโบราณมีคำพูดว่า Gut feeling หรือ Gut instinct เป็นฟังก์ชั่นของสิ่งมีชีวิตที่มีพลังงานไฟฟ้าส่งหากัน ทำหน้าที่เป็นเหมือนสมองที่สองให้เราและทำงานได้อย่างไม่มีอคติ ถ้าเราสามารถเข้าถึงสัญชาตญาณตรงนี้ได้ การตัดสินใจทุกอย่างจะชัดเจนมาก เพราะเป็นพลังงานที่ซ่อนอยู่ การที่เราใช้สมองในการคิดตัดสินใจ มีอารมณ์ มีการอ้างอิงประสบการณ์เดิมเข้ามา ทำให้เกิดอคติได้ แต่การคิดจากท้องมันจะเพียวกว่าและไม่มีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

“การที่เราดูแลระบบนิเวศในลำไส้ด้วยการกินอาหารที่มีชีวิตนี่แหละที่จะเป็นมิตรกับเขาได้”

สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้

ผู้คนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีภูมิปัญญาร่วมกันเรื่องการหมักดองเพื่อถนอมอาหารไว้กินเองมายาวนาน อาทิ ผักดอง ถั่วหมัก เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์พื้นบ้าน เครื่องปรุงรส ต่างเพียงรูปแบบที่หลากหลายตามภูมิปัญญาวัฒนธรรมที่ยึดถือ นั่นอาจเป็นเพราะคนโบราณล่วงรู้ความลับที่ว่า ‘สุขภาพดีเริ่มต้นที่ลำไส้’ ก็เป็นได้

ครั้งหนึ่ง สรวีย์จึงเคยจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปชวนคนมาล้อมวงทำมิโสะฉบับโฮมเมดเพื่อเรียนรู้การทำอาหารหมักแบบง่ายๆ และดีต่อสุขภาพได้ด้วยตัวเอง โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่นมาสอนกันถึงเชียงใหม่ เพื่อต้องการสื่อสารเรื่องอาหารมีชีวิต (living food) และคุณค่าของอาหารที่มีจุลินทรีย์เป็นประโยชน์ กล่าวสั้นๆ คือ อาหารหมักหลายอย่างช่วยส่งเสริมระบบนิเวศในช่องท้อง ทำให้ระบบย่อยอาหารดี การขับของเสียและการขับถ่ายดีขึ้น ส่งผลให้ระบบเลือดสมบูรณ์ และมีอายุยืนยาวได้ 

“คนไทยโชคดีที่มีอาหารหมักดองอยู่หลายอย่างที่เป็นภูมิปัญญาของเรา ผักดอง เต้าเจี้ยว ซีอี๊ว แต่ปัญหาคือเราหาแบบที่ไม่ต้มยากมาก เลยอยากให้ทุกคนได้ลองทำเองเพราะการทำเองมันสร้างความมั่นใจที่สุดแล้ว แต่บางอย่างต้องปรับให้เหมาะกับบ้านเรา อย่างเช่นการหมักมิโสะ ที่ญี่ปุ่นเขาอากาศเย็นอาจใช้เกลือน้อย ใช้เวลามาก แต่บ้านเราร้อน อาจต้องใช้เกลือมากขึ้นแล้วใช้เวลาหมักน้อยลง อย่างกิมจิที่เกาหลีก็มีหลายแบบตามแต่ภูมิภาค บางแห่งใส่กะปิ บางที่ใส่ปลาร้า น้ำปลา อาหารหมักของเราเองก็เหมือนกัน อย่างเชียงใหม่เรามีถั่วเน่าแผ่น ถั่วเน่าหมัก ใช้ปรุงอาหารได้หมดเลย”

ฟังแล้วน่าดีใจมากที่บ้านเรามีภูมิปัญญาเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วไปหมดทุกภูมิภาค และน่าชวนกันกลับมารื้อฟื้นองค์ความรู้นี้ขึ้นมาใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัยได้มากยิ่งขึ้น

​“ถ้ามีใครบอกว่าอยากเปลี่ยนแปลงเพื่อสุขภาพ เริ่มต้นที่อาหารง่ายที่สุด”

“เพราะอาหารเป็นสิ่งที่คนเรากินวันละ 2-3 รอบ ถ้าเปลี่ยนได้จะเห็นผลชัดมาก อาหารที่ดีคืออาหารที่มีชีวิตและใกล้ชิดธรรมชาติ เช่น ผักที่ปลูกเองเพราะมีพลังมากที่สุด อาจเริ่มจากอาหารคลีนที่สุดแค่มื้อเดียวต่อวันหรือมื้อเดียวในหนึ่งสัปดาห์ก็ได้ ลองทำให้มันเพียวที่สุด แต่งเติมน้อยที่สุด มีการปรุงแต่งรสชาติน้อยที่สุด เป็นการฝึกลิ้นตัวเองไปด้วย ทำไปเรื่อยๆ ร่างกายจะคุ้นเคยขึ้น อาหารสุขภาพนั้นทำให้อร่อยได้ อย่างอาหารญี่ปุ่นก็ปรุงแต่งน้อย ใช้แค่เกลือ ซีอิ๊ว มิโสะ แต่คนกินอร่อยได้เหมือนกัน เป็น natural food จริงๆ อาจต้องทำหน้าตาให้สวยงามชวนกินอย่างเช่นเบนโตะ บางทีเราอาจลืมนึกไปว่าจริงๆ แล้วความงดงามของอาหารคือสิ่งเหล่านี้แหละ”

เชื่อมต่อพลังจากธรรมชาติ

อาหารเป็นสิ่งที่สร้างเลือดเนื้อ ก่อกาย กำเนิดชีวิต ความคิดและจิตใจ ขณะเดียวกัน การเคลื่อนกายรักษาพลังก็เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการมีชีวิตที่ดีและสมดุล

“คนรุ่นใหม่มีโอกาสขยับน้อย เราทำท่าทางซ้ำๆ แค่นั่ง เดิน ใช้ความคิดมากกว่าการขยับเขยื้อนร่างกาย ทำให้พลังงานอุดตันอยู่ตามที่ต่างๆ ยิ่งเราไม่ขยับมันก็ยิ่งเกาะไปเรื่อยๆ ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา”

“เมื่อไม่ได้ขยับ เลือดลมเดินไม่สะดวก ก็เกิดเป็นอาการปวดเมื่อยต่างๆ การขยับหรือมูฟเมนต์จึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังและคอ เพราะเป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง นิจเลือกเล่นโยคะหรือไทเก็กอยู่กับบ้าน เพราะไม่อยากเอาเวลาไปเดินทาง ไม่ต้องแต่งตัวหรือใช้อุปกรณ์อะไรก็เล่นได้เลย การออกกำลังกายเป็นเรื่องของความชอบและต้องทำให้สมดุล เราอาจเริ่มต้นจากการทำความรู้จักตัวเอง ศาสตร์โบราณช่วยให้เรารู้ได้ อย่างน้อยก็ควรรู้ว่าเราเป็นคนธาตุอะไร เหมาะจะกินอะไร ออกกำลังกายแบบไหน ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องเฉพาะตัว ดีสำหรับคนอื่นอาจไม่ดีสำหรับเราก็ได้”

การขยับเข้าใกล้ขุมพลังจากธรรมชาติมอบผลลัพธ์อันน่าชื่นใจเสมอ ไม่น่าแปลกใจนักที่ในวันหนึ่งผู้หญิงคนนี้จะเลือกลงหลักปักฐานชีวิตอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่-เมืองใหญ่ที่ได้รับการยอมรับว่ามีพลังงานจากธรรมชาติอันแสนวิเศษมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เธอเลือกสร้างบ้านในพื้นที่เชิงเขาในอำเภอแม่ริม รับพลังจากขุนเขาใหญ่และสายน้ำอย่างเต็มเปี่ยมในทุกวัน

“ตอนย้ายมาอยู่เชียงใหม่แรกๆ บอกเลยว่าคอนทราสต์มาก เพราะที่กรุงเทพฯ เราอยู่กันหลายสิบคน มันคือความเฮฮา ไปตรงไหนก็มีคน พอมาที่นี่ อยู่กันแบบเงียบๆ แถมอยู่ใกล้ภูเขาด้วย มันเงียบมาก (เน้นเสียง) เงียบจนหูแว่ว เงียบจนหลอน (หัวเราะ) กลางคืนได้ยินเสียงเงียบ คือรู้สึกฟุ้งซ่านมาก เพราะเราไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนในชีวิต แรกๆ ก็ปรับตัวยาก แต่พอเริ่มชินแล้วรู้สึกว่าดีมากเลย เราได้ตัดบางอย่างที่รุงรังในชีวิตออกไปเยอะมาก ได้โฟกัสในสิ่งที่เราชอบมากขึ้น เห็นชัดขึ้น สิ่งที่อยู่ในตัวเราเริ่มแสดงออกมาได้ชัดขึ้น ทั้งหมดนั้นอยู่ในตัวเรา แต่เขาไม่มีโอกาสเรียกให้เราได้ยิน เพราะเรามัวแต่ไปได้ยินอย่างอื่นทั้งวัน และไม่มีเวลาได้อยู่กับตัวเองเลย

“พลังจากธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่มาก ทุกๆ เช้าเวลาเราเดินไปแถวน้ำตก เรารับรู้ได้ถึงพลังงานที่เหมือนการชำระล้างทุกอย่างออกไปได้เลย เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถทดแทนจากอย่างอื่นได้เลย ต่อให้เราเล่นโยคะ รำไทเก็กสามชั่วโมงก็ยังไม่เท่ากับการไปเดินอยู่ในป่าแค่แป๊บเดียว เป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากจริงๆ” 

ด้วยพลังธรรมชาติที่เธอได้รับ ทำให้เธอหันมาตระหนักถึงการดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาความยิ่งใหญ่นี้ให้ยั่งยืนต่อไป นอกจากการบอกต่อให้คนทั่วไปตระหนักถึงพลังของธรรมชาติ เธอยังออกปากชัดเจนว่าอยากเชิญชวนโรงแรมหรือรีสอร์ทที่อยู่ใกล้กับแหล่งธรรมชาติทั้งภูเขาและทะเล ให้ความสำคัญกับการใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ย่อยสลายได้เพื่อลดการสร้างผลกระทบต่อโลกใบนี้ เลยรวมไปจนถึงการบริการอย่างการเลือกเสิร์ฟอาหารหรือเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่เป็นการมอบพลังให้กับผู้คนในอีกทางหนึ่ง ซึ่งเธอเองก็ยินดีให้ข้อมูลหรือคำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับผู้คนและกิจการที่สนใจเพื่อส่งต่อแนวคิดนี้ให้แข็งแรงขึ้น

ชีวิตที่ยึดถือองค์ความรู้ผ่านพลังของธรรมชาติและศาสตร์โบราณ จึงไม่เพียงสะท้อนผ่านชีวิตของเธอเท่านั้น หากยังหมายรวมถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพแบรนด์ Botanic Pantry อันหลากหลาย ที่เธอสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพพื้นฐานที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิ Oil Pulling น้ำมันสกัดเย็นที่ดึงสารพิษออกจากร่างกายเพื่อดูแลสุขภาพปากและฟัน Sage Tooth Powder ยาสีฟันที่ปราศจากฟลูออไรด์และการบูร Facial Wash ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบปลอดสบู่และสารเคมี รวมทั้ง Raw Honey Blend เพื่อบำรุงสุขภาพหลากหลายสูตร วางจำหน่ายที่ Organic Supply กรุงเทพฯ ร้าน Daily Craft เมญ่า เชียงใหม่ และ Knock-knock.store ฮ่องกง โดยในอนาคตอันใกล้นี้ เธอแย้มว่าผลิตภัณฑ์จะได้วางจำหน่ายในอีกหลายประเทศ เพราะความสนใจในวิถีนี้กำลังเติบโตมากในต่างแดน

ในอนาคต สรวีย์ตั้งใจจะเป็นหนึ่งแรงบันดาลใจเล็กๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตผู้คนผ่านรูปแบบกิจกรรมหลากหลาย เพื่อให้การมีสุขภาพดีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงในชีวิตธรรมดาสามัญสำหรับทุกๆ คน


ภาพหญิงสาวตรงหน้าที่ดูสวยสง่า สะท้อนสุขภาวะที่ดีทั้งภายนอกและภายในอย่างฉายชัด มิอาจทำให้ฉันจินตนาการถึงวันวานของเธอได้เลย

“จากเด็กที่ป่วยกระเสาะกระแสะมาจนถึงวันนี้ คิดว่าตัวเองมาไกลมาก และโชคดีมากที่ชะตาชีวิตนำพาทุกอย่างมาให้เราอย่างต่อเนื่อง เป็นขั้นๆ ไปเรื่อยเหมือนขั้นบันได ทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมาเป็นตัวส่งหมดเลยเพื่อมาถึงจุดนี้ นิจคิดว่าการลงมือทำเป็นเรื่องสำคัญ แล้วเราจะได้คำตอบเองว่าสิ่งนั้นให้ผลอย่างไร

“ชีวิตมีทางเลือกเสมอเมื่อเราตัดสินใจ ทางนี้อาจดีกว่าทางอื่นในสถานการณ์นั้นๆ ต้องหาจุดสมดุลของตัวเองให้เจอ เทรนด์สุขภาพต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปอีกเรื่อยๆ นั่นแหละ เราลองได้นะ แต่ลองแล้วต้องถามตัวเองด้วยว่ามันดีกับเราจริงไหม ศึกษาให้รู้จริง บางทีเราก็ต้องทดลองทำดู อาจจะเริ่มจากหนึ่งอย่าง เมื่อได้ผลที่ดีค่อยเริ่มขยายไปในเรื่องอื่นๆ ในที่สุด”

FB: Botanic Pantry

ภาพถ่าย: มณีนุช บุญเรือง