
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2508 บริษัท แสงเจริญการฝ้าย จำกัด ถูกก่อตั้งขึ้น โดยดำเนินธุรกิจรับซื้อเศษผ้า เศษด้าย และขายให้กับคู่ค้า จากจุดเริ่มต้นที่ทำธุรกิจแบบซื้อมาขายไป เมื่อตกทอดมายังรุ่นที่สองก็ได้ขยับขยายสู่การเปิดเป็นโรงงานปั่นด้ายที่ถูกนำไปใช้ในการผลิตเป็นไม้ม็อปถูพื้นและสายสิญจน์ กระทั่ง วัธ-จิรโรจน์ พจนาวราพันธุ์ เข้ามารับช่วงต่อ และเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในฐานะทายาทลำดับที่สาม เมื่อตัดสินใจเป็นผู้คุมหางเสือ สิ่งแรกที่วัธทำคือการเปลี่ยนชื่อจาก ‘แสงเจริญการฝ้าย’ สู่ ‘SC GRAND และสานต่อความชำนิชำนาญของครอบครัว อีกทั้งพาโรงงานของต้นตระกูลเข้าสู่โลกยุคใหม่ และแตกแขนงไปสู่ก่อร่างสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นรักษ์โลกอย่าง ‘CIRCULAR’ ขึ้นเพื่อสื่อสาร ตอบรับ และตอบโจทย์ในเรื่องการรีไซเคิลให้มากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดที่ว่า ‘หากเราสามารถแปลงขยะไร้ค่าให้สร้างคุณค่าและมูลค่าได้มากเท่าไหร่ ก็จะส่งผลดีและเป็นประโยชน์ต่อพวกเราและโลกใบนี้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น’
นี่คือเรื่องราวตั้งแต่ Day 1 ของ ‘CIRCULAR’ ที่วัธเล่าให้เราฟังแบบหมดเปลือก ทั้งความตั้งใจของเขาที่อยากให้ลูกค้า แบรนด์ องค์กร ตลอดจนสาธารณชนเห็นถึงคุณค่าและศักยภาพของสิ่งทอรีไซเคิล ซึ่งไม่เพียงแต่จะนำไปผลิตเป็นผ้าผืนใหม่ที่สวยงามและมีคุณภาพได้เท่านั้น แต่ยังสามารถออกแบบและตัดเย็บเป็นเสื้อผ้า รวมถึงเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และศักยภาพของธุรกิจสิ่งทอรีไซเคิลยังสามารถรังสรรค์ให้เกิดผลิตภัณฑ์และสินค้าแฟชั่นที่ยั่งยืน ส่งต่อแรงบันดาลใจ ตลอดจนส่งผลกระทบเชิงบวกได้มากกว่าที่เราเคยจินตนาการไว้เสียอีก

รุ่นยายสร้าง รุ่นหลานสานต่อ
วัธเล่าให้เราฟังว่า แสงเจริญการฝ้าย เป็นบริษัทที่เริ่มต้นจากรุ่นคุณยายที่มองเห็นความเป็นไปได้ของการสร้างมูลค่าจากขยะสิ่งทอ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจโดยครอบครัวพจนาวราพันธุ์
“ผ้าหรือเสื้อผ้าที่เราสวมใส่กันอยู่จะมีกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่ปลูกฝ้าย ปั่นด้าย ทอผ้า ฟอก ย้อม ตัดเย็บ ในแต่ละกระบวนการก็จะมีขยะอยู่ เมื่อคุณยายเห็น ท่านก็มองว่าขยะเหล่านี้มีค่าไม่ต่างจากทอง แรกเริ่มแสงเจริญการฝ้ายจึงเป็นธุรกิจแบบซื้อขยะมาและขายออกไป เมื่อดำเนินกิจการจากรุ่นคุณยายสู่ทายาทรุ่นที่สอง พวกเราได้เห็นว่าคนที่มารับซื้อของต่อจากโรงงาน มีการไปส่งต่อต่างประเทศซึ่งมีการนำไปทำเป็นเส้นด้ายได้ด้วย ต่อมาจึงเปิดโรงงานปั่นด้ายขึ้น โดยมีคุณแม่และบรรดาคุณน้าของผมทำงานร่วมกัน”
กระทั่งปี 2562 ก่อนวิกฤตโควิดจะเกิดขึ้น เวลานั้นนั้นถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของแสงเจริญการฝ้ายก็ว่าได้ ทั้งจากวิกฤตภายในองค์กรเอง รวมไปถึงอุตสาหกรรมสิ่งทออยู่ในช่วงขาลง ทำให้การสานต่อในธุรกิจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ผมถามตัวเองหลายรอบเลยนะว่าอยากทำไหม และมีหลาย ๆ เสียงทัดทานอยู่เหมือนกัน แต่ผมมองว่าชีวิตคนเราต้องมี Meaning of Life ด้วย ผมเองได้เห็นมาตลอดว่าคุณยายท่านรักโรงงานและธุรกิจนี้มากขนาดไหน ความตั้งใจในตอนนั้นเลยคืออยากทำและจะทำ เพราะอยากสานต่อสิ่งที่คุณยายรักให้ยั่งยืนและยาวนานที่สุด พอตัดสินใจได้แบบนั้นก็เริ่มลุยเลย”

วันแรกของ CIRCULAR
หลังจากตัดสินใจสานต่อธุรกิจครอบครัว วัธเริ่มต้นจากการถามตัวเองก่อนว่าตัวเขาเข้าใจธุรกิจที่อยู่ตรงหน้ามากน้อยขนาดไหน ซึ่งแม้ว่าเขาจะตัวติดกับคุณยาย แถมยังได้คลุกคลีและผูกพันกับโรงงานมาตั้งแต่เล็ก ๆ แต่วัธบอกกับเราว่าเขาเองก็ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่ศูนย์ เพื่อที่จะดูว่าควรจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ปรับโฉมธุรกิจนี้อย่างไรและดำเนินไปในทิศทางไหน
“สำหรับการทำงานในรุ่นที่สามจะแตกต่างอย่างชัดเจน แผนที่วางไว้เป็นการปรับองค์กรให้เป็นแบรนด์ผ้าขึ้นมา จากนั้นจึงต่อยอดมาทำแบรนด์เสื้อผ้า มีการบริการนำเอาเสื้อผ้าเก่ามารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ขึ้น โดยนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มุ่งเน้นการลดของเสีย การนำกลับมาใช้ซ้ำ และการรีไซเคิล ไปจนถึงเทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งจุดแข็งของเราคือการมีพื้นฐานและรากฐานที่แข็งแรงจากรุ่นแรกและรุ่นที่สองมาแล้ว พอถึงรุ่นของเรา เราเลยชูความชำนาญเหล่านี้ และขยายกิ่งก้านสู่การเปิดแบรนด์เสื้อผ้า ‘CIRCULAR’ ขึ้น”
แบรนด์ภายใต้ SC GRAND ที่ต่อยอดสู่ผู้บริโภคและพันธมิตร แบ่งออกเป็นสองแกนหลัก ได้แก่ ‘CIRCULAR SOLUTION’ ที่ให้บริการ B2B ในการเก็บคืนยูนิฟอร์มและเสื้อผ้าเก่าเพื่อนำกลับมารีไซเคิลและผลิตเป็นสินค้าหรือยูนิฟอร์มใหม่ สร้างระบบ closed loop ที่ช่วยให้องค์กรลดของเสียและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม และ ‘CIRCULAR FASHION’ ที่ผลิตเสื้อผ้าและแฟชั่นจากผ้ารีไซเคิลที่รักษาสีดั้งเดิมจากวัสดุ ทำให้ทุกผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์และความสวยงามเฉพาะตัว ขณะที่ยังคงคุณภาพและการใช้งานได้อย่างครบถ้วน
“CIRCULAR FASHION เป็น Sustainable Fashion Brand ที่เราก่อตั้งขึ้นเพราะอยากให้ทั้งลูกค้า องค์กรต่าง ๆ ตลอดจนสาธารณชนได้เห็นถึงคุณค่าและศักยภาพของสิ่งทอรีไซเคิล บทบาทของ CIRCULAR อีกอย่างคือการเป็นเครื่องมือทางการตลาดให้กับเครือบริษัทของเรา เพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่าผ้ารีไซเคิลสามารถนำมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้นะ”

ส่องดีเอ็นเอความยั่งยืนผ่านดีเทลการพัฒนาผลิตภัณฑ์
จุดเด่นของ CIRCULAR คือการที่พวกเขานำเอาของเสียจากอุตสหากรรมสิ่งทอ ไม่ว่าจะเป็นจากภาคการผลิตอุตสาหกรรมแฟชั่น เศษผ้าจากการตัดเย็บ ไปจนถึงขยะสิ่งทอแฟชั่นต่าง ๆ มาใช้เป็นต้นทางในการผลิตโปรดักต์ โดยพวกเขาจะคัดแยกของเสียจากอุตสาหกรรมสิ่งทอตามเฉดสี จากนั้นจึงนำมาแปรสภาพให้เป็นผ้าหลากสีสัน รวมไปถึงการตัดเย็บขึ้นมาเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ โดยไม่ผ่านกระบวนการฟอกย้อม เพื่อนำกลับมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน อีกทั้งสร้างอิมแพกต์ต่อคนและสิ่งแวดล้อม
“ถ้ามองเสื้อและกางเกงยีนส์ที่ผมใส่วันนี้ หรือผ้าที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ผ้าเหล่านี้เป็นผ้าที่เรียกว่า ‘Undyed Fabric’ หรือว่าผ้าที่ไม่ผ่านกระบวนการฟอกย้อม ซึ่งเราใช้เศษด้าย เศษผ้า และเสื้อผ้า รวมทั้งไฟเบอร์เป็นวัตถุดิบหลัก คือในกระบวนการผลิตผ้าจากฝ้ายทั่วไปจะเริ่มต้นจาก การปลูกและเก็บเกี่ยวฝ้าย > การเตรียมเส้นใย > การทำเส้นด้าย > การทอผ้า > ฟอกย้อม > และจบที่การตัดและเย็บ วิธีทำงานของ CIRCULAR ต่างออกไปในแง่ที่ว่า เราสามารถลดทอนขั้นตอนให้เหลือเพียง การทำเส้นด้าย > การทอผ้า > การตัดและเย็บ ซึ่งจะลดขั้นตอนการปลูกฝ้ายและฟอกย้อมไป
“หลักการง่าย ๆ คือแทนที่เราจะใช้ฝ้ายใหม่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบแบบบริสุทธิ์ เรานำเสื้อผ้าเก่าและเศษผ้ามาเป็นส่วนผสมแทน เหมือนเป็นการทดแทนการปลูกฝ้ายใหม่ เป็นการทำสินค้าใหม่ขึ้นมา แต่เอาของเสียและของที่คนไม่ได้ใช้แล้วมาเป็นส่วนผสม นี่คือสิ่งที่เราทำ ซึ่งปกติ การผลิตเสื้อยืดหนึ่งตัว เราจะต้องใช้น้ำสะอาดในปริมาณ 2,000 ลิตร ต่อการผลิต ด้วยวิธีการนี้จึงเป็นการลดการใช้น้ำสะอาดได้อย่างมาก แถมยังช่วยลดการใช้สารเคมีในกระบวนการฟอกย้อมที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์ได้ด้วย ดังนั้น กระบวนการผลิตเสื้อผ้ารีไซเคิล 100% ของ CIRCULAR จึงลดทั้งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดภาระให้กับสิ่งแวดล้อมได้ในเวลาเดียวกัน”
วัธเล่าต่อว่า ที่นี่ทำ ‘Life Cycle Assessment’ (การประเมินวัฏจักรชีวิต) ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์หรือบริการตลอดทั้งวงจรชีวิตเพื่อระบุปริมาณทรัพยากรที่ใช้และของเสียที่ปล่อยออกมา และเพื่อให้สามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ ตลอดจนกระบวนการให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด, ทำ ‘Global Recycled Standard’ (มาตรฐานการรีไซเคิลระดับสากล) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่รับรองด้านผลิตภัณฑ์แบบเต็มรูปแบบ โดยสามารถตรวจสอบและติดตามวัสดุที่นำมารีไซเคิลตลอดห่วงโซ่เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิลตามที่ระบุจริงและรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของเรารีไซเคิลจริงนะ รวมถึงได้ ‘Certified B Corp’ เป็นการรับรองที่ยืนยันว่าธุรกิจมีมาตรฐานสูงสุดทั้งด้านผลการดำเนินงานทางสังคมและสิ่งแวดล้อม มีความโปร่งใส และมีความรับผิดชอบทางกฎหมาย
“นอกจากนี้ เราเองก็เข้าร่วม ‘1% for the Planet’ ที่ 1% ของรายได้ เราจะมอบให้กับองค์กรนี้ด้วย เราพยายามทำทุกอย่างให้โปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่คือคีย์ที่เราอยากจะโฟกัสในเรื่องความยั่งยืนจริง ๆ”

สูตรลับสมการ X ที่สร้างอิมแพกต์ได้มากกว่า
นอกเหนือไปจากการเป็นแบรนด์เสื้อผ้ารักษ์สิ่งแวดล้อมที่มาพร้อมแนวคิดมินิมอลคลาสสิก โดยเสื้อผ้าแต่ละชิ้นจะมีความพิเศษเฉพาะตัว ที่แม้จะมีความคล้ายแต่ก็แตกต่าง และมีเพียงหนึ่งเดียวแล้ว พวกเขายังรับผลิตยูนิฟอร์มให้กับองค์กรภาครัฐและเอกชน โดยเน้นแนวคิดการใช้สารตั้งต้นจากวัสดุรีไซเคิล อาทิ โพรเจกต์ ‘Closed-Loop’ ที่ CIRCULAR ร่วมมือกับ KOI Thé ในการนำยูนิฟอร์มเก่าที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลเสื้อผ้าใหม่ หรือการสร้างสรรค์คอลเล็กชันพิเศษภายใต้แนวคิด ‘Waste to Wardrobe’ จากการนำชุดยูนิฟอร์มเก่าของการบินไทยที่ไม่ใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นผ้าใหม่ โดยขนกองทัพแบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ไทยแท้ ทั้ง Rough cut, Youngfolks, JUN, She knows, Hangles, Hamburger studio, Khaki bros, และ Mr.Big มาร่วมงานเพื่อให้วัสดุเหลือใช้ถูกนำมาหมุนเวียนให้สร้างประโยชน์สูงสุด ไปจนถึง ‘THE GLOWING SNEAKERS’ การร่วมสร้างสรรค์นวัตกรรมรองเท้าเรืองแสง กับ I.P. One ที่ผลิตจากเส้นใยรีไซเคิล โดยพื้นรองเท้าทำขึ้นจากบรรจุภัณฑ์ของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกับยางพารา ตัวรองเท้าทำจากเศษผ้าเก่า และใช้ขวดพลาสติกเหลือใช้มาพัฒนาเป็นเชือกรองเท้า ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ทำให้รองเท้าแต่ละคู่สามารถเรืองแสงในยามค่ำคืนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้เด็ก ๆ เวลาข้ามถนนได้
“ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับองค์กรและแบรนด์ในบ้านเราหลาย ๆ แห่ง ที่เราทำตรงนี้ก็เพราะเราต้องการให้คนเห็นว่าแฟชั่นแบรนด์ในไทยสามารถนำผ้ารีไซเคิลของเราไปปรับใช้ได้ ไม่เพียงเท่านี้ เรายังอยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันภาคธุรกิจ องค์กรต่าง ๆ รวมถึงคนทั่วไปได้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการสร้างสรรค์แฟชั่นที่สวยงาม มีฟังก์ชั่นที่ดี เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ที่สามารถเป็นมิตรต่อโลกในเวลาเดียวกัน เราตั้งใจอยากจะให้ความยั่งยืนและการจัดการทรัพยากรเกิดการหมุนเวียนและลดของเสียอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถเข้าถึงได้ง่ายกับทุกคน โดยที่ CIRCULAR จะเป็นอีกหนึ่งหัวเรี่ยวหัวแรงที่จะนำพาแรงบันดาลใจมาให้ผู้คนได้เห็นเป็นตัวอย่างหนึ่ง แบบที่พวกเขาสามารถนำไปใช้ ต่อยอด หรือประยุกต์กับสิ่งที่พวกเขาทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่ กลาง เล็ก หรือระดับปัจเจคก็ได้เช่นกัน”

เศรษฐกิจ + สังคม + สิ่งแวดล้อม = ระบบนิเวศที่ขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน
“สำหรับผม ความยั่งยืนจะต้องประกอบไปด้วย เศรษฐกิจหรือผลกำไร (Profit) สังคม (People) สิ่งแวดล้อม (Planet) และการสร้างผลกระทบเชิงบวก (Good Impact) หมายความว่า ถ้าเราเน้นแต่โลกสวย ภาพหล่ออย่างเดียว บริษัทจะอยู่ไม่ได้และไม่ยั่งยืน เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะไปซัปพอร์ตคนอื่นได้ เราต้องทำให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้ก่อน เมื่อทำแบบนั้นได้แล้ว เราจะสร้างความยั่งยืนและส่งต่อความยั่งยืนสู่ภาคส่วนอื่นได้อย่างเข้มแข็งด้วยพละกำลังที่มากพอ
“ความยั่งยืนสำหรับผมกับสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ คือการทำธุรกิจที่สามารถอยู่ต่อได้โดยไม่มีผม ซึ่งหากต้องการให้ผลลัพธ์เป็นแบบนั้น ผมจะต้องวางรากฐานองค์กรให้ดีและบริหารให้เป็น เพราะฉะนั้น วันที่ผมและทีมสามารถพาองค์กรเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ รากฐานบริษัทแข็งแรง สามารถสร้างตึกสูงลิบได้ ผมมีโมเดลคัลเจอร์ที่จะดึงดูดทรัพยากรบุคคลเข้ามา และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่จะพาทุกคนในองค์กรสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้ตลอดเวลา ขณะที่ก็เอื้อให้พวกเขามีความสุขจากการทำงานร่วมกับเราได้ และนั่นจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาผู้สืบทอดมาที่นี่ เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นขึ้นมาทำงานและบริหารงานต่อจากผม ทำงานด้วยความรักทั้งต่อองค์กร ทั้งด้วยปรัชญาที่อยากเห็นสิ่งที่ดีกว่าเกิดขึ้นในโลกที่พวกเราอาศัยอยู่ร่วมกันในอนาคตได้
“แน่นอนว่าความสุขของผมจะเกิดขึ้นได้ก็จากการที่ผมได้เห็นธุรกิจที่คุณยายรักดำเนินไปต่อได้โดยที่ไม่มีผมอย่างที่บอก มีหลายคนบอกกับผมว่า จะกลับมาสานต่อทำไม เอาจริง ๆ สิ่งทอเป็นธุรกิจที่ไม่มีใครอยากทำสักเท่าไหร่ เพราะคุณต้องลงทุนใหม่ ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ พวกเราลงทุนไปแบบบ้าระห่ำอยู่เหมือนกัน ตรงนี้ผมต้องขอบคุณครอบครัวที่ไว้ใจและให้โอกาสผมในการเสียทรัพย์สินสัดส่วนใหญ่สัดส่วนหนึ่งเลยเพื่อนำมาปรับ เปลี่ยน และการบริหารงานตรงนี้
“ผมเคยถามคุณยายว่า ‘คุณยายเคยท้อบ้างไหม?’ จำได้เลยว่าท่านจ้องหน้าผม แล้วถามกลับว่า ‘แค่นี้ก็ท้อแล้วเหรอ?’ คงเพราะมีคุณยายนี่แหละที่เป็นต้นแบบในการทำงาน เพราะฉะนั้น ผมไม่เคยท้อเลยนะเอาจริง ๆ ท่านถือเป็นหญิงเหล็กในวงการนี้ เป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่ทำงานในวงการสิ่งทอและมองเห็นความเป็นไปได้ในเวลาที่คนอื่น ๆ อาจยังมองไม่เห็น
“ถ้าวัดค่าความสำเร็จคือการก้าวให้ครบ 100 ก้าว สำหรับผมกับการทำงานมาจนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าไม่ถึง 10 ก้าวด้วยซ้ำ แน่นอนว่าผมยังคงผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องบ้าระห่ำ แต่ผมชอบความท้าทาย ขณะเดียวกัน ผมก็ชอบทำอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น เพื่อให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วม ผมว่าความคิดแบบนั้นทำให้ชีวิตของผมมีความหมาย คนเราต้องมีเป้าหมายและตามหาความหมายของชีวิต จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ คือได้ทำสิ่งที่ทำให้เราค้นพบคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ และการได้เข้ามาทำ SC GRAND รวมทั้ง CIRCULAR คือคำตอบที่ผมตามหามาตลอด ซึ่งผมเจอมันแล้วครับ (ยิ้ม)”

สำหรับเราแล้ว CIRCULAR นอกจากจะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าร่วมสมัยสไตล์ Ready to Wear ที่สามารถใส่ได้ทุกวันและในหลาย ๆ โอกาสแล้ว ก็ยังเป็นธุรกิจสายกรีนที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยแท้ ด้วยเป้าหมายเพื่อลดการสร้างขยะ ลดการปล่อยคาร์บอน การใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็น และส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งการอุดหนุนแบรนด์ที่ใส่ใจโลกแบบนี้ ก็เหมือนกับการที่เราได้บอกรัก (ษ์) โลกง่าย ๆ ด้วยตัวเราเอง แถมยังเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างประโยชน์ให้กับโลกนี้ไปพร้อม ๆ กัน



