หากคุณอยากออกกำลังกายแต่ไม่ชอบวิ่ง ไม่อยากว่ายน้ำ และคิดว่าการยกเวทไม่ใช่ทางคุณเท่าไรนัก เมียงมองดูแล้วจักรยานนี่แหละน่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด แต่คำถามคือเราจะปั่นแบบไหนระหว่างปั่นจักรยานโต้ลมบนเสือหมอบคู่ใจกับการปั่นจักรยานในคลาสที่แสนสะดวกสบาย

ปั่นตากแอร์เย็น
ช่วงปีที่ผ่านมาบ้านเรามีสตูดิโอปั่นจักรยาน (cycling studio) เกิดขึ้นหลายเจ้า แต่ละคลาสจะมีผู้ฝึกสอนนำการปั่นอยู่ด้านหน้า คอยบอกให้คุณเร่งหรือผ่อนจังหวะ ปรับความหนืดให้ยากขึ้น บอกให้คุณทำท่าต่างๆ อาศัยการปั่นตามจังหวะดนตรีที่จำลองบรรยากาศในคลับ มีการใช้เวทร่วมด้วยเพื่อบริหารกล้ามเนื้อส่วนบน เช่น แขน ไหล่ อก และหลัง ซึ่งต่างจากการปั่นจักรยานทั่วไปที่กล้ามเนื้อหลักจะเป็นเพียงแกนกลางลำตัวและช่วงล่าง การปั่นลักษณะนี้ใช้เวลาเพียง 45 – 60 นาทีต่อครั้งแต่ทั้งเบิร์นไขมัน เสริมสร้างกล้ามเนื้อ บริหารปอดและหัวใจ ใช้เทคนิคการออกแรงแบบหนักสลับเบา (High intensive interval training) ซึ่งมีผลการศึกษาหลายชิ้นยืนยันว่าการออกกำลังกายลักษณะนี้ให้ผลดีกว่าการออกแรงด้วยความหนักคงที่ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่คนเข้าร่วมคลาสอย่างสม่ำเสมอ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ สามารถลดหุ่นลงได้อย่างรวดเร็วแม้พวกเขาไม่ได้จำกัดอาหารเลยก็ตาม

ข้อดีอีกอย่างของการปั่นจักรยานในคลาสคือความสนุกสนาน ไม่จำเจ เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในคลาส ที่ทำให้คุณกล้าเขยิบออกจากโซนปลอดภัย ท้าทายให้คุณออกแรงมากขึ้น อึดขึ้น ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เหมือนเวลาปั่นคนเดียว แต่ข้อเสียของมันก็มี ประการแรกหากคุณเป็นมือใหม่หัดไถที่ร่างกายยังไม่ฟิตพร้อมขนาดนั้น การที่คุณออกแรงเกินขีดจำกัดของตัวเองอาจนำพาไปสู่อาการบาดเจ็บ หรือคุณอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคหัวใจไม่เหมาะสำหรับการออกกำลังกายหนักๆ ดังนั้นก่อนเข้าคลาส คุณควรตั้งใจกรอกแบบสอบถามเรื่องสุขภาพ (สตูดิโอปั่นที่ได้มาตรฐานต้องให้ลูกค้ากรอกข้อมูลนี้ก่อนการปั่นครั้งแรก) เพื่อการคัดกรองเบื้องต้น ช่วงแรกคุณควรเข้าคลาสสำหรับผู้เริ่มต้น จากนั้นเมื่อร่างกายเริ่มคุ้นชินและฟิตได้ที่ค่อยขยับไปคลาสปกติ นอกจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว ข้อเสียอีกอย่างคือราคาต่อคลาสที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการหาจักรยานดีๆ สักคันมาปั่นออกกำลังกายกันไปยาวๆ

หรือจะปั่นกลางแจ้ง?
การปั่นจักรยานกลางแจ้งเหมารวมทั้งจักรยานเสือหมอบ เสือภูเขา หรือการปั่นหวานเย็นรอบหมู่บ้าน นอกเหนือจากประโยชน์ที่ได้รับเหมือนการปั่นจักยานในคลาส ความแตกต่างอยู่ตรงที่กล้ามเนื้อส่วนล่างและแกนกลางลำตัวของคุณต้องทำงานหนักขึ้นเมื่อเทียบกับการปั่นอยู่กับที่ เพราะคุณไม่มีวันรู้ว่าเมื่อออกถนน คุณจะต้องเจอกับสถานะการณ์อะไรบ้างอาจเป็นเส้นทางลาดชัน ทางโค้ง หลุม บ่อ เนิน การจราจรติดขัด หรือคนขับรถที่ไร้ระเบียบ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนบังคับให้ร่างกายต้องตื่นตัวและควบคุมจักรยานให้อยู่นิ่งที่สุด ในขณะที่ขาก็ยังต้องถีบไป ข้อดีอีกอย่างคือสมองของคุณก็จะได้ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนการเล่นเกมที่ต้องผ่านด่านไปเรื่อยๆ

ข้อเสียเปรียบของการปั่นจักรยานกลางแจ้งคือใช้เวลาเตรียมตัวมากกว่า ไหนจะเสื้อผ้าและพร็อพต้องพร้อม สถานที่ในกรุงเทพฯ ก็มีไม่กี่แห่งที่คุณสามารถปั่นยาวๆ ได้อย่างสบายใจและปลอดภัย อีกอย่างหากไม่นับนักปั่นสายแข็งหรือปั่นมืออาชีพ คนส่วนใหญ่ไม่สามารถบังคับตัวเองให้ไปถึงระดับที่ร่างกายทนทานต่อความเหนื่อยสูงสุดได้ ไม่เหมือนกันการปั่นในคลาสที่มีคนกระตุ้นให้คุณไปต่อ

แล้วจะเลือกแบบไหนดี ?
ถ้าให้ตอบแบบกำปั้นทุบดินคือดีทั้งสองอย่าง เพราะไม่ว่าจะปั่นกลางแจ้งหรือปั่นในคลาส การันตีผลลัพธ์ว่าคุณจะมีสุขภาพที่ดีขึ้น ฟิตขึ้น ได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ปอดและหัวใจแข็งแรง มีกำลังวังชา ไม่หมดแรงหรือเหนื่อยง่ายเหมือนที่ผ่านมา เพียงแต่คุณต้องชั่งน้ำหนักดูว่าแบบไหนเหมาะกับคุณมากกว่ากัน หากคุณชอบความสะดวกสบาย มีกำลังจ่าย แค่อยากปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพและลดน้ำหนัก ไม่ต้องคิดอะไรมาก เข้าคลาส-ได้เหงื่อ-จบ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นต่อ การปั่นในคลาสเหมาะกับคุณ แต่ถ้าคุณต้องการมากกว่านั้น มากกว่ารูปร่างหรือสุขภาพที่ดี หากคุณมีเป้าหมายระยะไกลและพร้อมอุทิศตนเพื่อการปั่น อย่าหยุดตัวเองแค่ในห้องสี่เหลี่ยม เพราะประสบการณ์ปั่นบนหลังอานจักรยานนั้น สร้างแรงบันดาลใจให้คนมานักต่อนัก

ภาพประกอบโดย นวพรรณ อัศวสันตกุล