จากที่เคยเป็นแค่โซนประจำชั้น 4 ในสยามดิสคัฟเวอรี่ ตอนนี้ Ecotopia ยกโขยงย้ายชั้นมายึดพื้นที่ชั้น 3 พร้อมชวนพรรคพวกสินค้าอีโค่ด้วยกันมาจับจองที่จนกลายเป็นเมืองแห่งคนรักษ์โลกที่ทุกคนมีความเชื่อเหมือนกันว่า ‘เราสร้างโลกให้ดีขึ้นได้ด้วยกัน’ (Together, We Co-Create a Better World)

ความน่ารักของ Ecotopia เวอร์ชั่นใหม่นี้ นอกจากจะบอกว่าตัวเองเป็นเมืองอีโค่แล้ว (แปลว่าเมืองแห่งความรักษ์นี้ครอบคลุมไปทุกภาคส่วนประเภทของการช้อปปิ้งสินค้าอีโค่) ที่นี่ยังเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์อีโค่ย่อมๆ ที่สุดแสนจะเดินสบายและเข้าถึงได้ง่าย เพราะไม่ว่าจะไปโซนไหนก็จะเห็นป้ายอธิบายสินค้าแต่ละตัว (แถมมี QR Code ให้สแกนดู) ถึงเรื่องราวความเป็นมาและการเดินทางกว่าของชิ้นนั้นจะมาเป็นสินค้าอีโค่ได้ และเราว่ามันเวิร์กมากๆ เพราะสินค้าบางอย่างโดยเฉพาะสินค้าที่ถูกนำมารีไซเคิลนั้นล้วนน่าตื่นตาเสมอ เราจะแทบดูไม่ออกเลยว่าอดีตแต่ละชิ้นเคยเป็นของเหลือใช้หรือเกือบจะได้เป็นขยะมาแล้ว ดังนั้นขั้นตอนการชุบชีวิตของสินค้าเหล่านี้ล้วนน่าสนใจแถมเป็นการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าที่เต็มไปด้วยความรักทั้งเรา (ลูกค้า) และรักษ์ทั้งโลกจริงๆ

ในเมือง Ecotopia มีประชากรอีโค่มากกว่า 300 แบรนด์ ยิ่งใหญ่ขนาดที่ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่ขายสินค้าอีโค่ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia ไปเรียบร้อยแล้ว

โดยที่ทุกชิ้นมีอุดมการณ์ร่วมกันคือ เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและรักษาสุขอนามัย ผลิตโดยไม่ใช้สารเคมี สะอาด ปลอดภัย และผ่านกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อม

Ecotopia มียานพาหนะขับเคลื่อนด้วยมือ (เรา) อย่างตะกร้าหวายมีหูหิ้วที่วางซ้อนไว้พร้อมช่วยบรรทุกของทั้งหมดที่เรากำลังจะช้อปปิ้ง เมืองนี้แบ่งเป็น 8 โซนย่อยที่เรากำลังจะพาไปสำรวจสำมะโนครัวกันในบรรทัดต่อไปนี้นี่แหละ

Green โซนที่ต้อนรับเราด้วยความสดชื่นจากต้นไม้ที่เรียงรายไปหมดจนงงว่านี่เราอยู่ในห้างแน่เหรอ แถมยังมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเล่นจนนึกว่าอยู่ในคาเฟ่ต้นไม้เขียวขจี เดินไปเรื่อยๆ จะเจออุปกรณ์ทำสวน สารพัดของตกแต่งสวน ที่น่ารักน่าตักที่สุดก็คือโต๊ะรีฟิลดินที่มีให้เลือกตักชั่งน้ำหนักตามใจชอบ

ไม่ไกลกันมีโซนที่ไม่มีไม่ได้อย่าง Zero Waste โซนที่มีสเตชั่นรีฟิลของใช้ประจำวันเช่น สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจานไล่ไปถึงเกลือขัดผิว เราสามารถเอาบรรจุภัณฑ์มารีฟีลกลับบ้านได้ นอกจากจะได้ของดีไปใช้ยังช่วยลดขยะได้เยอะเลย

ถัดมาเป็นโซน Hygienic ที่เป็นเหมือนแหล่งซื้อของฝากประจำเมืองเพราะรวมสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันและสินค้าทำความสะอาดที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุที่ย่อยสลายได้

เดินลุยต่อไปอีกนิดจะเจอกับโซนที่กินพื้นที่เมืองไปเยอะอย่าง Beautiful แหล่งรวม Organic Skincare และ Personal Care ที่ทำมาจากสารสกัดจากธรรมชาติ ที่นี่มีให้เลือกหลายแบรนด์ อันไหนที่เราเคยเล็งไว้ในอินสตาแกรมก็ได้เจอตัวจริง ได้ลองจริง (มีสเตชั่นแยกที่รวมทุกผลิตภัณฑ์ให้ได้ทดลองได้อย่างสะดวก) และขั้นกว่าของการซื้อของคือสเตชั่นที่ดูไกลๆ เหมือนน้ำผลไม้ แต่เดินเข้าไปก็พบว่าเป็นออยล์ทาหน้าและทาตัวที่ให้รีฟิลกลับบ้านหรือจะเอาขวดเก่าของแบรนด์มาใส่ก็ย่อมได้! ไม่ไกลกันนักเป็น Cosmetic Recycle Station ที่รอบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้วของทุกคนมาแยกส่วนตรงนี้เพื่อนำไปแยกขยะอย่างเป็นประโยชน์สูงสุดต่อไป

โซนที่อยู่ตรงกลางและโดดเด่นมากอย่าง Up-cycled นี้เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่ถูกนำมารีไซเคิล ทั้งเสื้อที่ผลิตจากขวดน้ำ กระเป๋ายางพารา กระเป๋าที่ทำจากเสื้อกันฝน ช้อนส้อมที่ทำจากฟางข้าวสาลี ไปจนถึงถ้วยชามที่ทำจากฝาขวดน้ำพลาสติก ไฮไลท์คือพื้นที่ส่วนกลางแสนสนุกที่ให้ทุกคนได้ประดิษฐ์ของจากวัสดุเหลือใช้กันได้ฟรี ใครอยากทำอะไรก็มีพนักงานผู้เชียวชาญพร้อมให้ความช่วยเหลือ เป็นการกำจัดขยะที่สร้างสรรค์แบบได้ของกลับไปแต่งบ้านเป็นที่ระลึกได้อีกต่างหาก

และถ้าพูดถึงเรื่องของกินก็มีไม่ขาด เพราะที่นี่มีโซน Healthy ที่เต็มไปด้วยอาหารเพื่อสุขภาพที่คัดเลือกวัตถุดิบออร์แกนิคจากธรรมชาติเต็มชั้นวางและตู้แช่ ถัดไปเป็น Stylish โซนรวมแฟชั่นที่ทำมาจากฝ้ายออร์แกนิคและเศษผ้าที่ล้วนทอออกมาเป็นเสื้อผ้าอย่างบรรจง แถมมีมุม Clothes Swap ที่สามารถนำเสื้อผ้ามาแลกเปลี่ยนเสื้อผ้าดีไซน์ใหม่ได้ โซนสุดท้ายที่ถึงจะเล็กแต่น่ารักมากๆ ด้วยแนวคิดก็คือ Kind โซนที่รวมงานฝีมือและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สร้างสรรค์จากวัตถุดิบธรรมชาติเพื่อสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนและชาวบ้าน 

รู้ตัวอีกทีเราก็เหมือนถูกดูดเข้าไปอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยพลังงานดีๆ เกือบลืมไปว่ากำลังอยู่ในห้างสรรพสินค้า จนต้องกลับมาเขียนคำเตือนตัวโตๆ ตรงนี้ที่บรรทัดสุดท้ายว่า มาเดินเมืองนี้มีข้อควรระวังอย่างเดียวเท่านั้นคือ ระวังตกหลุมรักษ์เข้าให้นะชาวกรีน

ภาพถ่าย: ยสินทร์ เวชวิชา