เมื่อถึงเวลาวันหยุดยาว คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงการได้ไปท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่ อย่างการไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งคงจะมีหลายครั้งที่หลายๆ คนรีบร้อนจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าในช่วงเวลาโปรโมชั่น โดยที่ยังไม่ทันได้คิดถี่ถ้วนถึงแผนการเดินทางเพราะกลัวว่าจะจองไม่ทัน

แต่ถ้าได้ลองหยุดความอยากเที่ยวไว้ ยับยั้งชั่งใจกับราคาพิเศษสักครู่ แล้วมาทบทวนดูอีกทีถึงพลังงานที่ต้องใช้ในการเดินทางโดยเครื่องบิน เราจะเห็นได้ว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นเป็นวิธีที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง และทำลายสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งสวนทางกับความสะดวกรวดเร็วที่เครื่องบินสามารถมอบให้ได้โดยสิ้นเชิง และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ อีฟลิน่า อุทเทอร์ดาลห์ (Evelina Utterdahl) บล็อกเกอร์สาวสายท่องเที่ยวชาวสวีเดนผู้ชื่นชอบการเดินทางคนเดียว ได้ยกเลิกการเดินทางด้วยเครื่องบินตั้งแต่ปี 2018 ซึ่งถึงแม้ว่าเธอได้ผันตัวเองมาเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อรณรงค์ลดโลกร้อน เธอก็ยังคงสามารถดำรงการเป็นบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวเป็นอาชีพหลักได้ตามปกติในชื่อว่า Earth Wanderess และยังคงเดินทางบ่อยอย่างที่เคยทำมา

อีฟลิน่า อุทเทอร์ดาลห์ เกิดและโตในแถบตะวันตกของประเทศสวีเดน ในครอบครัวที่ชื่นชอบการเดินทาง เธอจึงได้มีโอกาสไปเที่ยวตามประเทศต่างๆ ถึง 15 ประเทศ และได้สัมผัสวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของผู้คนใน 4 ทวีปตั้งแต่ที่เธอมีอายุเพียง 16 ปี หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเที่ยวคนเดียวตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งเป็นทริปการไปประเทศสหรัฐอเมริกาที่เธอบังเอิญต้องไปคนเดียว และได้ค้นพบว่าการเที่ยวคนเดียวนั้นคือความสุขอย่างหนึ่ง เธอหลงรักการเดินทางเพื่อเก็บเกี่ยวเรื่องราวในประเทศที่เธอไปแล้วนำมาเผยแพร่กับคนอื่นผ่านการเขียน อีฟลิน่าเที่ยวคนเดียวตั้งแต่ตอนที่เธอยังทำงานเป็นพนักงานประจำทั่วไป ซึ่ง ณ ตอนนั้นเองเธอได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องไปเที่ยวให้ได้เดือนละหนึ่งครั้ง ควบคู่กับการเป็นฟรีแลนซ์ เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสนุกและประสบการณ์การเดินทางของเธอตามที่ต่างๆ บนบล็อกของเธอเอง รวมถึงเขียนลงเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆ จนเวลาผ่านไปไม่กี่ปีเธอจึงผันตัวเองมาเป็นนักเขียน และอินฟลูเอ็นเซอร์ด้านการท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ว่าเธอจะไปเที่ยวที่ไหนเพื่อหาเรื่องราวมาเขียนบทความ เธอจะต้องเดินทางโดยสารเครื่องบินทุกครั้งไป

จุดเริ่มต้นในการเลิกบินของอีฟลิน่า เกิดจากตอนที่เธอได้เข้าใจว่าการบินสร้างมลพิษและทำลายสิ่งแวดล้อมมากเพียงไหน หลังจากการอ่านคอลัมน์เกี่ยวกับผลกระทบต่อสภาวะทางอากาศของการบิน (The Climate Impact of Aviation) ในนิตยสาร

เธอนึกถึงตัวเธอเองที่เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกมากว่า 73 ประเทศตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี และได้เห็นถึงผลกระทบต่อโลกที่เธอสร้างขึ้นจากการเดินทางเพื่อไปทำงาน

“ฉันพอจะรู้ว่าการเดินทางด้วยการบินนั้นไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ไม่รู้ว่ามันมีผลกระทบร้ายแรงเพียงใด เมื่อฉันได้เห็นตัวเลขผลกระทบจากคอลัมน์ในนิตยสารนั้นแล้ว ฉันก็ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อีกต่อไป จึงตัดสินใจในวันนั้นทันทีว่าฉันจะไม่บินอีก เพราะไม่อยากให้ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้อีกแล้ว’

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกตามที่เราเห็นข่าวภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วพวกเราทุกคนมีส่วนที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ นั่นคือสิ่งที่อีฟลิน่าเชื่อ จากการคาดการณ์ของ IPCC (Intergovernmental Panel on Climate Change) ได้ระบุไว้ว่า เราทุกคนมีเวลาเพียงแค่ 10 ปี ในการที่จะลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดขึ้นจากตัวเราให้อยู่ในเกณฑ์ระหว่าง 1 ถึง 2 ตันต่อปีเพื่อช่วยโลก หากลองตัวยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้น เที่ยวบินไปกลับจากกรุงเทพฯ และโตเกียวสำหรับผู้โดยสาร 2 คนครั้งหนึ่ง จะเท่ากับการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ถึง 1.1 ตัน ซึ่งเหมือนกับว่าเราได้ใช้งบประมาณการปล่อยสร้างมลพิษรายปีของตัวเองไปมากกว่าครึ่งหนึ่งภายในการท่องเที่ยวเพียงทริปเดียว

อีฟลิน่ามองเห็นความผิดปกติของกลไกการตลาดในอุตสาหกรรมการเดินทางทั่วโลกที่เป็นอยู่ ทำให้ราคาการเดินทางด้วยเครื่องบินไปสู่ภูมิภาคอื่นภายในประเทศหรือประเทศใกล้เคียงมีราคาที่ถูกกว่าการเดินทางด้วยรถไฟ แม้ว่าฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดีที่คนหันมาเดินทางในระยะใกล้กันมากขึ้น แต่การขาดความรู้ความเข้าใจว่า ตอนที่เครื่องบินกำลังจะออกตัวนั้นใช้เชื้อเพลิงมหาศาลเลยทีเดียว ทำให้ผู้คนไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบของตัวเองที่มาจากความสะดวกสบายเท่าที่ควร ดังนั้นการเดินทางระยะใกล้ด้วยเครื่องบิน และอยู่เที่ยวเพียงเวลาไม่ถึงสัปดาห์จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับอีฟลิน่าเลย

ความน่าสนใจคือ การที่อีฟลิน่าหยุดเดินทางด้วยเครื่องบิน ในขณะที่กำลังเดินบนเส้นทางอาชีพบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวนั้นไม่ได้มีอุปสรรคต่อเธอแต่อย่างใด เธอเดินทางเท่าเดิม เพียงแต่ว่าเธอจะใช้เวลากับแต่ละสถานที่ที่เธอไปนานขึ้น และทำงานผ่านช่องทางออนไลน์เสมอ

“ผู้คนถามฉันว่า เธอเดินทางไปประเทศนั้นประเทศนี้ได้อย่างไร? ทุกคนลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าสมัยก่อนมนุษย์เราเดินทางระหว่างประเทศได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องบินเลย เพราะฉะนั้นถ้าฉันไปประเทศที่ฉันต้องการไปด้วยรถไฟไม่ได้ ฉันก็ยังนั่งเรือไปได้จริงไหม?!”

นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นของเธอทำให้เธอได้เป็นผู้ร่วมสร้างแคมเปญ Flight Free 2020 เพื่อรณรงค์ให้คนทั่วไปเข้าใจผลกระทบของการบิน และลดการบินลงด้วย ซึ่งแคมเปญนี้เป็นแรงกระเพื่อมให้สายการบินต่างชาติออกข้อเสนอที่น่าสนใจแก่ผู้โดยสาร เพื่อตอบรับแคมเปญนี้และกระแสรณรงค์ลดโลกร้อนจากการบินด้วย เช่น สนับสนุนการไม่ต้องบินถ้าไม่จำเป็น เพราะในทวีปยุโรปนั้นผู้โดยสารสามารถนั่งรถไฟไปได้เนื่องจากมีประเทศอยู่ใกล้เคียงกัน แต่หากจะต้องบินก็ควรจัดสัมภาระให้เบาขึ้น หรือยอมจ่ายค่าตั๋วแพงขึ้นเพื่อซื้อ carbon offsets หรือสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ตัวเอง

“ทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่าราคาเที่ยวบินถูกเกินไปจนไม่น่าเชื่อ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบางแห่งพวกเขาไม่ได้มีความจำเป็นต้องไป หรือไม่ได้ต้องการไปตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ แต่ตัดสินใจไปเพียงเพราะราคาถูก”

ในแคมเปญนี้ อีฟลิน่าจึงเสนอแนวทางการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนมากขึ้นให้ทุกคนได้ลองคุยกับตัวเอง และตัดสินใจทำตามได้โดยไม่ยากเกินดัง 4 ข้อนี้

1. พิจารณาก่อนว่าเราต้องการที่จะไปเที่ยวสถานที่นั้นๆ จริงหรือไม่? เราไปที่นั่นเพื่อทำงานหรือประชุมหรือเปล่า? หากเป็นการประชุมเราสามารถคุยผ่านออนไลน์แทนได้มั้ย? หากทริปนี้เป็นทริปสำหรับวันเสาร์-อาทิตย์ เราสามารถเปลี่ยนไปเที่ยวในที่ใกล้ๆ ที่เราสมารถนั่งรถไฟหรือรถบัสไปแทนได้หรือไม่?

2. ถ้าเราต้องเดินทางด้วยเครื่องบินจริงๆ เราควรอยู่สถานที่นั้นๆ ให้นานขึ้น

3. เมื่อเลือกเที่ยวบิน เราควรเลือกเที่ยวบินตรงมากกว่าเที่ยวบินที่มีการเปลี่ยนเครื่อง เนื่องจากเครื่องบินจะใช้เชื้อเพลิงมากที่สุดตอนที่กำลังจะบินขึ้น และตอนที่กำลังลงจอดสู่ภาคพื้นดิน

4. เวลาไปท่องเที่ยว หากไม่มีความจำเป็นต้องซื้อของกลับ รวมไปถึงของฝาก เราก็ไม่ควรจะซื้อของที่สุดท้ายแล้วเราอาจจะไม่ได้นำมาใช้งานจริงๆ เพราะการบริโภคมากเกินความจำเป็น ก็เป็นการทำลายโลกอย่างหนึ่ง

หากเราทุกคนทำตามแนวทางของอีฟลิน่าได้ เราจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อโลกมากขึ้น

ในทุกๆ ครั้งที่อีฟลิน่าเขียน หรือเล่าเรื่องของเธอผ่านสื่อต่างๆ เธอยังคอยเน้นย้ำเสมอว่า พวกเราทุกคนควรจะคำนึงถึงผลกระทบจากการท่องเที่ยวของตัวเราที่มีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นอีกด้วย เราไม่จำเป็นต้องไปไหนไกล เพราะการที่เราหันมาเที่ยวใกล้ขึ้นหรือแม้แต่ในประเทศของตัวเอง ก็ถือเป็นการอุดหนุนและส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นได้อย่างมากเลยทีเดียว

“คุณจะได้อยู่กับปัจจุบันมากขึ้นเมื่อคุณไม่ได้เดินทางด้วยการบิน เพราะคุณจะได้สัมผัสเรื่องราวและบรรยากาศรอบตัวที่ผ่านคุณไปอย่างช้าๆ นั่นทำให้การเดินทางของคุณมีความหมายมากกว่าการไปให้ถึงสถานที่ที่หนึ่งแล้วจบไป”

ที่มาข้อมูล
www.earthwanderess.com
www.goclimate.com
www.flightfree.co.uk

ภาพประกอบ: Paperis