ถึงแม้สวีเดนจะเป็นประเทศหนาวเย็น จนของหวานๆ เย็นๆ อย่างไอศกรีมไม่น่าจะเป็นที่นิยม แต่จากข้อมูลสถิติของ World Atlas ปี 2020 พบว่า ในยุโรปด้วยกันเอง สวีเดนบริโภคไอศกรีมมากเป็นอันดับ 2 รองจากฟินแลนด์ และสวีเดนยังเป็นประเทศที่บริโภคไอศกรีมมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก หรือราว 12 ลิตรต่อคนต่อปี ยิ่งไปกว่านั้นสถิติปีอื่นๆ ก็ยังช่วยยืนยันความรักไอศกรีมของชาวสวีดิชอีกทางว่า สวีเดินไม่เคยตกอันดับ top 10 แม้แต่ปีเดียวเลย

ชาวสวีดิชเริ่มผลิตไอศกรีมเองเมื่อปี 1930 โดยโรงงานผลิตนมที่ค้นพบว่า ไขมันในนมสามารถนำไปแปรรูปและเพิ่มกำไรในรูปแบบไอศกรีมได้ จากนั้นไอศกรีมก็เป็นของหวานติดตู้เย็นของทุกบ้าน ชนิดที่ว่าไม่ต้องรอให้ถึงหน้าร้อน ทุกบ้านก็พร้อมนึกถึงไอศกรีมเสมอ

ส่วนมากแล้วไอศกรีมในสวีเดนมักทำจากส่วนผสมยืนพื้นคือ ไขมันจากนม ไข่ และเบอร์รี่ที่หาได้ทั่วไปในประเทศ ตัวเลือกก็มีหลากหลาย ทั้งไอศกรีมแบบปกติ ไปจนถึงไอศกรีมวีแกน ไอศกรีมแบบไม่มีกลูเตน ปราศจากแล็กโตส หรือไอศกรีมปราศจากคอเลสเตอรอลด้วย

ถึงอย่างนั้น ไอศกรีมของสวีเดนมักเป็นไอศกรีมที่ใช้นมหรือนมถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบยืนพื้น ไอศกรีมจำพวกซอร์เบต์ที่ใช้น้ำผลไม้เป็นวัตถุดิบสำคัญดูจะยังเป็นของหายากอยู่

Folkets Pops (ไอศกรีมของมวลชน) จึงปิ๊งไอเดียผลิตไอศกรีมแท่งแบบหวานเย็น (popsicle) ที่ใช้ผลไม้และสมุนไพรตามฤดูกาลมาเติมเต็มส่วนที่หายไปในตลาด ไม่แต่งสี ไม่เติมรส มีเพียงบางรสชาติเท่านั้นที่เติมน้ำตาลจากบีตรูตลงไปเล็กน้อย

แต่ส่วนใหญ่แล้ว Folkets Pops จะเน้นรสหวานตามธรรมชาติของวัตถุดิบแต่ละชนิดมากกว่า ทว่าสิ่งที่ชวนตื่นเต้นไปกว่านั้นคือ Folkets Pops ยังเป็นแบรนด์ไอศกรีมที่ใส่ใจลดปัญหาของเสียจากอาหาร (food waste) และช่วยลดอุณหภูมิโลกไปพร้อมกันด้วย

ไอศกรีมหวานเย็นที่ชุบชีวิตผักผลไม้ขึ้นมาใหม่  

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ระบบการผลิตอาหารทุกวันนี้นิยมผลิตแบบเผื่อเหลือเผื่อใช้ และบางครั้งผลผลิตก็ออกมาไม่สวยดั่งใจ ดังนั้นในแต่ละปี 1 ใน 3 ของผลผลิตทางการเกษตรจึงถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะผักและผลไม้นั้นมีสัดส่วนถูกทิ้งมากถึง 40-50 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้ Folkets Pops จึงพยายามชุบชีวิตผักผลไม้ที่กำลังจะถูกทิ้งขึ้นมาใหม่ด้วยการไปติดต่อร้านค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตหลากหลายแห่งในท้องถิ่น เพื่อขอซื้อพืชผักที่ล้นเกินสต็อก หรือหน้าตาไม่สวยสด อย่างแครอตห้าขา หรือแคนตาลูปเปลือกน่วมมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการทำไอศกรีม

อย่างไรก็ตาม Folkets Pops ไม่สามารถนิยามตัวเองว่าเป็นไอศกรีมแบบ ecological หรือ ‘ไอศกรีมที่เอื้อต่อระบบนิเวศ’ ได้เต็มปาก เพราะการจะเป็นผลิตภัณฑ์แบบ ecological ได้นั้นต้องตรวจสอบไปถึงที่มาของฟาร์มว่าเป็นฟาร์มออร์แกนิกหรือไม่ Folkets Pops ที่มีจุดยืนเรื่องลดขยะอาหารจึงคิดว่า

การช่วยชีวิตผักผลไม้ใกล้ถูกทิ้งด้วยการนำมาใช้ให้มากที่สุด ทิ้งให้น้อยที่สุดควรเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าจะจู้จี้เรื่องแหล่งที่มา

ผักผลไม้ที่ Folkets Pops เลือกใช้เลยไม่ได้มีแค่ผลิตผลภายในประเทศ แต่ยังรวมถึงพืชผลส่วนที่สวีเดนนำเข้ามาด้วย พวกเขาบอกว่า การนำเข้าผลไม้ต้องใช้พลังงานและสร้างก๊าซเรือนกระจกไม่น้อย ดังนั้นคงเป็นเรื่องน่าเสียดายถ้าผักผลไม้หมวดนี้ไม่ถูกชุบชีวิตไปพร้อมกันด้วย ด้วยเหตุนี้ Folkets Pops จึงขอนิยามตัวเองว่าเป็นไอศกรีมแบบ logical ที่มีเหตุมีผลในการเลือกใช้วัตถุดิบจะเข้าท่ากว่า

ส่วนใหญ่แล้วผักผลไม้ที่ Folkets Pops ได้มามักเป็นผลิตผลตามฤดูกาล รสชาติไอศกรีมจึงสับเปลี่ยนทุกสัปดาห์ตามแต่วัตถุดิบที่ได้ แถมแต่ละรสก็ยังจับมาผสมกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างผักผลไม้และสมุนไพรต่างๆ เช่น แพร์-ลาเวนเดอร์ องุ่น-โรสแมรี่ พีช-คาโมมายล์ สตรอว์เบอร์รี่-โหระพา แตงโม-เกลือสมุทร สับปะรด-ดอกผักชี แอปริคอต-ไธม์ ลูกพลัมย่าง-โป๊ยกั๊ก กล้วยหอม-อินทผาลัม หรือฟักทอง-เอสเปรสโซ

ไอศกรีมช่วยผึ้ง

Folkets Pops คิดว่าพวกเขาจะไม่มีทางได้ผลผลิตรสอร่อยและหลากหลายได้เลย หากปราศจากผึ้งที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยผสมเกสรให้ผลิตผลทางการเกษตร แต่สิ่งที่น่ากังวลก็คือ อุณหภูมิโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ผึ้งมีความเสี่ยงต่อการติดโรคและใกล้สูญพันธุ์

Folkets Pops จึงหาทางช่วยผึ้งด้วยการนำรายได้จากการขายไอศกรีมราว 4 บาทต่อหนึ่งแท่งบริจาคให้แก่องค์กรที่อนุรักษ์ดูแลธรรมชาติอย่าง Naturskyddsforeningen (The Swedish Society for Nature Conservation)

หน้าที่เชิงนโยบายขององค์กรนี้ก็คือ กระตุ้นให้นักการเมืองสนับสนุนการเกษตรแบบยั่งยืนที่ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง และสนับสนุนฟาร์มออร์แกนิกอย่างจริงจังเพิ่มขึ้นอีกขั้น นอกจากนั้นองค์กรนี้ยังกระจายความรู้เรื่องผึ้งแก่เกษตรกรและชาวเมืองว่าผึ้งมีความสำคัญอย่างไร ในสวนหลายบ้านและฟลายฟาร์มในสวีเดนตอนนี้เลยเริ่มเห็น bee hotel มากขึ้นเรื่อยๆ

ถึง Folkets Pops จะยังเป็นแบรนด์เล็กๆ ที่ป็อปอัพไปยังเมืองต่างๆ ในสวีเดน แต่ความตั้งใจและภารกิจของไอศกรีมเจ้านี้ดูจะยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก พวกเขาทั้งช่วยผักผลไม้ถูกทิ้ง ช่วยผึ้งทางอ้อม แถมยังเติมความสดชื่นให้ลูกค้าด้วยส่วนผสมที่ไม่ต้องกังวลเรื่องสุขภาพ

เราเลยเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาจึงตั้งชื่อตัวเองว่า Folkets Pops หรือไอศกรีมเพื่อมวลชนเช่นนี้

ที่มาข้อมูล

www.folketspops.se
www.worldatlas.com