‘อยู่เพื่อกิน’ หรือ ‘กินเพื่ออยู่’ อาจไม่สำคัญเท่า ‘กินอย่างไรให้อยู่อย่างแข็งแรงและมีคุณภาพ’
คนส่วนใหญ่หมดเวลาไปกับที่ทำงานกว่า 1 ใน 3 ต่อวัน และมากกว่าครึ่งชีวิตใช้ไปกับการทำงาน แล้วเราจะจัดการชีวิตอย่างไรให้ทั้งวันมีคุณภาพที่สุดดีล่ะ
ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากจะชวนพนักงานออฟฟิศทุกคนมาสร้างนิสัย ‘กินดี กรีนดี’ ไปพร้อมกับเพื่อนๆ กว่า 40 องค์กร ที่เข้าร่วมอบรมออนไลน์ Greenery Healthy Workplace กับ แทน–ธัญลักษณ์ แสงลาภเจริญกิจ นักกำหนดอาหาร ที่จะมาแนะนำการกินดีและปลอดภัย รวมถึงไอเดียการลดขยะในออฟฟิศที่ใช้ได้จริงกับ น้ำมนต์–ชนินทร์ ศรีสุมะ ผู้ร่วมก่อตั้ง Refill Station ปั๊มน้ำยา ร้านปลอดบรรจุภัณฑ์ร้านแรกในกรุงเทพฯ
สำรวจสุขภาพตัวเองก่อน
แค่กินอิ่ม นอนหลับ อาจจะไม่เพียงพอกับการเรียกว่า ‘สุขภาพดี’ ถ้าไม่มีการกินอาหารครบหมู่ ไม่กินผักผลไม้ ไม่มีกิจกรรมทางกาย ไม่มีกิจกรรมนอกบ้าน ไม่มีกิจกรรมลดความเครียด เช่น ปั่นจักรยาน และไม่ไปตรวจร่างกายเป็นประจำ รวมถึงไม่งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์
การมีสุขภาพที่ดีต้องมาจาก 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ สุขภาพทางกายและใจแข็งแรง ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิด คนรอบข้าง และการทำงานที่มีความสุข
สำหรับสุขภาพกาย เราสามารถตรวจเองได้ง่ายๆ ด้วยการวัดหาค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI ซึ่งเป็นการวัดภาวะอ้วนลงพุง โดยใช้น้ำหนักตัวหารด้วยสองเท่าของส่วนสูง ตามสูตร BMI = น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) / ส่วนสูง2 (เมตร) ตัวอย่างเช่น หนัก 57 กิโลกรัม สูง 1.6 เมตร ก็จะได้ 57÷1.6÷1.6 = 22.26 เท่ากับอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกติ
แต่การประเมินภาวะอ้วนลงพุงนี้ต้องใช้วิธี ‘วัดเส้นรอบเอว’ ควบคู่ไปด้วย ซึ่งค่าที่ได้ต้องไม่เกินส่วนสูง (เซนติเมตร) หาร 2 ถึงจะเรียกว่าปลอดภัยจากภาวะนี้ สามารถวัดเองได้โดยวัดตรงส่วนที่คอดที่สุดหรือวัดผ่านสะดือ
เลือกกินอย่างมือโปร
สารอาหารที่ให้พลังงาน หรือ Macronutrients มาจากโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และใยอาหาร ส่วน Micronutrients คือประเภทสารอาหารที่ไม่ได้ให้พลังงาน เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซี วิตามินเอ แร่ธาตุต่างๆ หากขาดสารพวกนี้ไปก็จะทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติได้
อาหารการกินก่อโรคทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน คือ ขาดสารอาหารหรือทุพโภชนาการ (Under Nutrition) หรือ สารอาหารเกินหรือภาวะโภชนาการเกิน (Over Nutrition) ที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง
แต่ไม่มีอาหารไหนดีหรือไม่ดี เพียงแต่ต้องเลือกอาหารให้เหมาะสมกับตัวเองก็จะทำให้การกินของเราสมดุลขึ้น เพราะสิ่งที่ทำให้การกินของเรามีปัญหามากที่สุดและก่อความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่อง หวาน มัน เค็ม อย่างที่ธัญลักษณ์ นักกำหนดอาหารบอกกับเราว่า
“ความหวานเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของเบาหวาน ถ้ากินไขมันไม่สมดุลก็จะเกิดไขมันในเลือดสูง ความเค็มจากเกลือก็จะมีผลต่อความดัน ในระยะยาวสามารถก่อให้เกิดโรคไตได้”
• รู้จักหวานให้น้อย ความหวานจากน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง น้ำผึ้ง ที่เราได้รับไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน แต่รู้ไหมว่าเครื่องดื่มสำเร็จรูปนั้นมีปริมาณความหวานอยู่ไม่น้อยเลย ยกตัวอย่างเช่น กาแฟกระป๋อง มีน้ำตาล 3 ช้อนชา หรือ 17.2 กรัม น้ำอัดลม มีน้ำตาล 8.7 ช้อนชา หรือ 34.8 กรัม น้ำส้มกล่อง 25% มีน้ำตาล 11.2 ช้อนชา หรือ 44.8 กรัม และคนส่วนใหญ่อาจเข้าใจว่า หากเปลี่ยนมาดื่มนมเปรี้ยวแทนก็น่าจะดี แต่ที่จริงแล้วความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะในความเปรี้ยวนั้นก็ยังมีความหวานอยู่มาก อีกทั้งในแต่ละวัน เรายังได้รับน้ำตาลจากมื้ออาหารที่แม่ครัวปรุงมาอีกต่างหากไม่รู้ปริมาณเท่าไรด้วย
• เลี่ยงมันบ้างก็ดี ความมันที่ว่ามาจากน้ำมันทั้ง 3 ประเภท ที่มีคำแนะนำถึงการกินดังนี้
1) เลือกกินแต่น้อย คือ ไขมันอิ่มตัว จากเนื้อสัตว์ นม ไข่ เนย กะทิ น้ำมันมะพร้าว
2) กินได้เป็นครั้งคราว คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน ปลาไขมันสูง
3) เลือกกินเป็นหลัก คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็งอย่าง ถั่วลิสง อัลมอนด์ เพราะเป็นไขมันดี ก่อโรคน้อย และช่วยลดไขมันตัวอื่นๆ ด้วย
• ทำกับข้าวใช้น้ำมันแบบไหนดี ถ้าทำอาหารทอด (Deep Fried) แนะนำไขมันอิ่มตัว แต่ถ้าทอดไม่นาน เช่น ไข่เจียว ไข่ดาว น้ำมันรำข้าวก็ใช้ได้ ส่วนน้ำมันมะกอก ถ้าเป็นแบบ Extra Virgin ควรใช้กับสลัด แต่น้ำมันมะกอกที่ปรับสูตรแล้วพอใช้ผัดได้ แต่ยังไม่แนะนำให้ใช้กับเมนูทอด เพราะจะเป็นอันตราย เกิดสารก่อมะเร็ง ก่อโรคอื่นๆ แทน
• เค็มไปก็ไม่ไหว ตัวก่อโรคจริงๆ ไม่ใช่ความเค็ม แต่คือโซเดียม ซึ่งสำหรับคนทั่วไปในหนึ่งวันไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัม ตัวอย่างเช่น เกลือ 1 ช้อนชา (โซเดียม 2,000 มิลลิกรัม) น้ำปลา น้ำปลาร้า และกะปิ 1 ช้อนชา (โซเดียม 500 มิลลิกรัม) ซุปก้อน 1 ก้อน (โซเดียม 1,760 มิลลิกรัม)
ส่วนผงชูรสแม้ไม่ได้ให้รสเค็มแต่มีโซเดียมแฝง ผงชูรส 1 ช้อนชา (โซเดียม 610 มิลลิกรัม) ค่อนข้างอันตราย เพราะเราไม่รู้ว่าร้านค้าใส่มาเยอะแค่ไหน และลิ้นรับรสเค็มจากผงชูรสไม่ได้
จากผลสำรวจอาหารริมทางในประเทศไทยบอกว่า อาหาร 1 จาน เช่น ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ มีโซเดียมประมาณ 1,500–2,000 มิลลิกรัม ส่วนผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น โบโลนา 15 กรัม หรือประมาณ 2 ชิ้น มีโซเดียมถึง 410 มิลลิกรัม เลยทีเดียว
• ใน 1 มื้อ เราควรกินอะไรบ้าง บางคนอาจจะเวียนหัวกับข้อกำหนดที่มากมายจนเลือกกินอาหารในหนึ่งมื้อไม่ถูก เรามาลองดูง่ายๆ กันกับ ‘สูตรการกินอาหาร 2:1:1’ โดยใน 1 จานให้แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ 2 ส่วนเป็นผักหลากหลาย หลากสีสัน 1 ส่วนเป็นกลุ่มข้าว เลือกข้าวที่ไม่ขัดสี และ 1 ส่วนสุดท้ายคือเนื้อสัตว์ ถ้าได้ควรกินปลา หรือถ้าหมู ไก่ ควรเลือกไม่ติดหนังไม่ติดมัน บางมื้อเลือกเต้าหู้หรือไข่กินแทนเนื้อสัตว์ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังควรกินผลไม้อีก 3–5 จานเล็กต่อวัน แบ่งกินเป็นมื้อย่อยได้ แล้วก็อย่าดื่มลืมนมจืดอีก 1–2 แก้วต่อวัน ก็เป็นอันครบถ้วน
ชวนปรับมื้ออาหารให้มีสุขภาพดีขึ้น
• มื้อเช้า พนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ก็จะเลือกกินอะไรเร็วๆ แต่เราสามารถปรับได้ เช่น เอามันออกจากข้าวเหนียวหมูปิ้ง หรือลองบอกคนขายช่วยเพิ่มผักในโจ๊กและเกาเหลา ถ้าวันไหนไม่ได้กินผัก ให้เลือกผลไม้ที่พกง่ายๆ เช่น ส้มหรือกล้วย กินหลังมื้อเช้าหรือจะกินระหว่างมื้อก็ได้
• มื้อเที่ยง ถ้าคิดอะไรไม่ออก เราคงเลือกอาหารตามสั่ง เช่น ผัดกะเพรา ผัดกระเทียม หรือจะเป็นอาหารจานเดียวอย่างก๋วยเตี๋ยว เพิ่มผักหน่อย ลองกินข้าวมันไก่ ข้าวขาหมูเนื้อล้วนไม่หนัง ระหว่างมื้อก็เพิ่มผลไม้เอา
• มื้อว่าง ให้เลือกผลไม้หวานน้อย โยเกิร์ตไม่ใส่น้ำตาล ถั่วอบ ผักอบกรอบ มันฝรั่งอบกรอบแทน
• มื้อเย็น ไม่ว่าคุณจะเป็นสายส้มตำ สายอาหารญี่ปุ่น สายหมูกระทะ สายไก่ทอด หรือสายอาหารไทย ลองพยายามสั่งผักเพิ่มขึ้น เลี่ยงหนัง เลี่ยงมันสัตว์ เลี่ยงเมนูทอด ลดน้ำจิ้ม น้ำซุป น้ำแกงดูนะ
กินอย่างเข้าใจ (ตัวเอง) ด้วยเทคนิค Mindful Eating
สุขภาพที่ดีขึ้นไม่เพียงมาจากการกินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังเกี่ยวข้องกับจิตใจภายในด้วย มาดูกันดีกว่าว่าเทคนิค Mindful Eating หรือการกินอย่างเข้าใจตัวเอง ต้องทำอย่างไรบ้างถึงจะ ‘ดีต่อใจ’
1. เลือกกินของที่ชอบ และค่อยๆ ลิ้มรสที่แท้จริงของอาหาร
2. จัดโต๊ะและอุปกรณ์การกินให้พร้อม เหมาะสมสำหรับมื้อนั้นๆ
3. หากมีเวลา ลองสนุกสนานไปกับการเข้าครัวสักหน่อย
4. ใครที่ชอบเสียงเพลง ก็สามารถเปิดคลอเวลากินอาหารเพิ่มความผ่อนคลายได้
5. ไม่เร่งรีบ และไม่ทำอย่างอื่นระหว่างกิน เช่น เล่นโทรศัพท์
ที่สำคัญคือ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องมือวัดระดับ ‘ความหิว-ความอิ่ม’ ที่จะสามารถช่วยให้เราปรับและวางแผนการกินให้มีสติมากขึ้น โดยมีระดับ 1-10 แบ่งเป็นความหิวโหยขั้นสูงสุดจนมือสั่นและหน้ามืด ไปจนถึงความอิ่มระดับแน่นจุกเหมือนเดินออกมาจากร้านบุฟเฟ่ต์ ซึ่งนักกำหนดอาหารก็ได้ให้คำแนะนำว่า
ควรกินอาหารในช่วงความหิวระดับ 3 คือ ช่วงที่ท้องเริ่มทำงาน ต้องเริ่มคิดแล้วว่ามื้อต่อไปควรจะกินอะไรดี
และควรอิ่มอยู่ที่ระดับ 8 ซึ่งเป็นระดับที่อิ่มพอดี ถ้าทำได้ตามระดับนี้ก็จะช่วยให้ร่างกายไม่ทำงานหนักมากเกินไปนั่นเอง
เทิร์นโปรใน 5 ขั้นตอน
ใครที่กำลังรู้สึกว่า ‘การกินให้ดีมันยากจังเลย’ หรือ ‘อ่านมาก็เข้าใจแล้วแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี’ ไม่ต้องกังวล เพราะเรามีขั้นตอนง่ายๆ มาให้ลองทำกัน
เริ่มกันที่ : หาเป้าหมายที่อยากสุขภาพดี ลองสำรวจตัวเองดูว่าทำไมเราถึงอยากมีสุขภาพดี หรือเราจะสุขภาพดีไปเพื่ออะไร
ขั้นต่อมา : จดสิ่งที่อยากปรับ ลองลิสต์ดูว่าเราอยากปรับอะไรบ้าง เช่น ลดของกิน เวลาการกิน ชนิดอาหาร ลดการตุนของกินบนโต๊ะทำงาน หรือแม้แต่จะชวนเพื่อนๆ ที่สนใจมาปรับไปพร้อมกันก็ยังได้
ไปกันต่อ : ไม่รอแล้ว ลงมือทำเลย พอรู้สิ่งที่เราอยากปรับเห็นเป็นข้อๆ แล้ว ก็เริ่มทำได้เลย
ลำดับถัดไป : ทบทวนความรู้สึกหน่อย เมื่อได้ลองทำ ลองปรับกันบ้างแล้ว ลองกลับมาถามตัวเองดูว่ารู้สึกยังไงบ้าง
สุดท้ายแล้ว : ทำต่อ หรือเริ่มใหม่ ถ้าเรารู้สึกโอเคกับสิ่งที่ได้ลองมาก็ทำต่อไปได้เรื่อยๆ เลย แต่ถ้าไม่ลองย้อนกลับไปดูที่ข้อแรกใหม่ว่าเราอยากสุขภาพดีทำไม และอย่าลืมว่าเราเริ่มใหม่ได้เสมอ
เทรนด์การกิน : สุขภาพดีสร้างได้ แต่มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง
หลายคนพยายามสรรหาวิธีกินที่จะช่วยให้ตัวเองสุขภาพดีขึ้น จนเกิดเป็นเทรนด์การกินอาหารแบบต่างๆ มากมาย แต่เราเอาวิธีที่ฮอตฮิต 3 แบบมาฝากให้ลองศึกษากันเบื้องต้นว่า กินแบบไหนดีที่จะเหมาะกันเรา
1. คีโต (Ketogenic Diet) ทางการแพทย์จะใช้วิธีการกินแบบนี้เพื่อรักษาผู้ป่วยเด็กโรคลมชัก โดยเป็นการกินอาหารที่เน้นไขมันเป็นหลัก ซึ่งเป็นการหลอกร่างกายในการอดอาหาร ทำให้น้ำหนักลดลง
• ระยะสั้น น้ำหนักลดจริงเพราะกล้ามเนื้อและน้ำในร่างกายหายไป แต่ไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น อาการที่จะตามมาคือ ท้องผูก ขาดน้ำ คลื่นไส้อาเจียน หงุดหงิดง่าย และความอยากอาหารลดลง เพราะร่างกายเบื่อการกินแต่ไขมันเยอะ
• ระยะยาว คือ กระดูกบาง ผมร่วง ฮอร์โมนผิดปกติ สำหรับผู้หญิงอาจเกิดการขาดประจำเดือน วิตามินเกลือแร่และธาตุเหล็กขาดไปเพราะกินอาหารไม่ครบหมู่ ถ้านานมากๆ อาจเกิดตับอักเสบหรือไตเสื่อมได้
2. ไอเอฟ (Intermittent Fasting: IF) หลักการคือทำให้เรารับพลังงานต่อวันลดลง เพื่อลดน้ำหนักอีกทาง บางคนอาจทำเพื่อให้ร่างกายสดชื่นเพื่อให้ทำงานต่อได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ผู้บริหารและคนทำงานรุ่นใหม่เอาไปใช้กันเยอะ มี 3 แบบ คือ
ยอดฮิต : 16–8 หมายถึง กินอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 18 ชั่วโมง
เริ่มอึด : 20–4 หมายถึง กินอาหาร 4 ชั่วโมง และอดอาหาร 20 ชั่วโมง
สายแข็ง : 5:2 หมายถึง ใน 1 สัปดาห์ กินอาหาร 5 วัน อดอาหาร 2 วัน
(อดอาหาร 2 วันในที่นี้ ยังสามารถกินอาหารพลังงานต่ำมากได้ คือน้อยกว่า 500 กิโลแคลอรี)
หากอยากลองปรับใช้ดูบ้าง ควรรักษาสมดุลของมื้ออาหารให้ครบถ้วนและหลากหลาย กินอิ่มพอดีไม่จุก และไม่ลืมคำนึงถึงระยะยาวว่าเหมาะกับการใช้ชีวิตของเราหรือเปล่า
3. แพลนต์เบส (Plant – Based Diet) อาหารที่เน้นผักผลไม้และธัญพืชเป็นหลัก ซึ่งหลายคนอาจยังสับสนระหว่างแพลนต์เบสและวีแกน (เจ) ก็ขอทำความเข้าใจกันตรงนี้ว่า วีแกนจะกินผักอย่างเดียว ไม่กินเนื้อสัตว์ ตลอดจนอาหารทะเล ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนแพลนต์เบสจะเลี่ยงเนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ยังกินได้บ้าง
จากจานกลมที่จะต่างจากมื้อของคนทั่วไป (2:1:1) คือ ส่วนโปรตีน ซึ่งโปรตีนของคนที่กินแบบแพลนต์เบสจะมาจากอาหารจำพวกถั่ว ธัญพืช เต้าหู้ และมีส่วนที่เกิดขึ้นมาใหม่ คือ วิตามินบี 12 คนกินแพลนต์เบสอาจจะขาดสารอาหารนี้ที่ได้จากเนื้อสัตว์ นม ไข่ ไป ซึ่งจะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดและการทำงานของระบบประสาท
แนะนำทริก : หากอยากกินแพลนต์เบสให้ได้ดี แนะนำวิธีการปรุงถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ โดยการใช้เทคนิคแช่น้ำ หมัก เพาะต้นอ่อน หรือบดผสม เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ได้ดีขึ้น ลดอาการท้องอืดด้วย ควรเลี่ยงอาหารมังสวิรัติแปรรูป เช่น ปลาเค็ม หมูเจ ปลาเจ หรือเป็ดเจ เพราะโซเดียมสูง
แต่ไม่ว่าเทรนด์เป็นอย่างไร ก็อยากให้ศึกษาให้ดีก่อนหรือจะลองปรึกษาแพทย์ นักกำหนดอาหารด้วยก็ได้ว่าแบบไหนที่เหมาะกับเรา
“อย่าลืมว่าเรากินให้มีความสุขได้ แล้วมองย้อนกลับมาดูตัวเองด้วยว่าจะกินอย่างไรดีให้เข้ากับชีวิตตัวเอง”
นักกำหนดอาหารกล่าวทิ้งท้าย
กินดีด้วย ปลอดภัยด้วย
รู้ไหมว่าสินค้าจากห้างและตลาดเกิน 50% มีปริมาณสารพิษตกค้างเกินกำหนดค่า MRL (Maximum Residue Limits) เราจึงจำเป็นต้องล้างผักและผลไม้ก่อนกินทุกครั้ง เพื่อให้ปลอดภัยจากสารพิษตกค้างจากยาฆ่าแมลง
วิธีล้างผักง่ายๆ ใกล้ตัว คือ ล้างน้ำไหลผ่าน โดยเริ่มจากตัดแต่งส่วนที่เราไม่กินออกไปก่อน แล้วคลี่ผักออกเป็นใบๆ ล้างสิ่งสกปรกที่มองเห็นด้วยน้ำเปล่า หลังจากนั้นให้แช่ผักลงในน้ำ 10-15 นาที หากต้องการความมั่นใจให้ใส่เบกกิ้งโซดา (ครึ่งช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร) หรือน้ำส้มสายชู (1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 4 ลิตร) เมื่อครบเวลาที่ตั้งไว้ ให้ล้างน้ำเปล่าไหลผ่านโดยใช้มือถูไปที่ใบ หรือเปลือกนอกของผลไม้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยลดสารพิษตกค้างได้ถึง 25-65 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ข้อควรระวัง : บางคนอาจจะคิดว่าต้องแช่นานๆ จึงจะล้างสารพิษตกค้างออกได้หมด แต่ความจริงแล้วหากเราแช่นานเกินกว่า 15 นาที แทนที่จะเป็นการชำระสารพิษ กลับกลายเป็นว่าผักและผลไม้จะดูดสารพิษกลับคืนแทน
ส่วนวิธีที่ดีกว่า (ถ้าใครสะดวก) คือ เลือกซื้อจากแหล่งซื้อที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ และเลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาล เพราะผักผลไม้นอกฤดูจะโดนสารพิษเยอะเป็นพิเศษ จากการที่เกษตรต้องฉีดยา ใส่ปุ๋ยเพื่อให้ผลผลิตสามารถขายได้ทั้งปี
แนะนำเมนูลดสารเคมี : ให้เลือกเมนูลวกหรือต้มก็ได้ ถ้าเลี่ยงน้ำซุป น้ำแกงได้ก็จะดีมาก เพราะนอกจากจะช่วยลดโซเดียม ลดน้ำตาลแล้ว ก็ยังลดสารเคมีปนเปื้อนในอาหารได้อีกทาง
ออฟฟิศไร้ขยะ
ถึงตอนนี้เรารู้แล้วว่าจะกินอย่างไรให้ดี ปลอดภัย และมีคุณภาพ แต่เมื่อดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเต็มที่แล้ว มนุษย์ออฟฟิศอย่างเราก็ยังสามารถดูแลสุขภาพของโลกและที่ทำงานให้กรีนดีไปพร้อมกันด้วยไอเดียง่ายๆ ที่เราเอามาฝาก
“ขยะกำจัดผิดวิธี เพราะไม่มีการแยกขยะ”
น้ำมนต์–ชนินทร์ ศรีสุมะ ผู้ร่วมก่อตั้ง Refill Station มาร่วมแบ่งปันไอเดียการแยกขยะที่ออฟฟิศกันง่ายๆ และใช้ได้จริง ไม่จำเป็นต้องแอดวานซ์แยกละเอียดยิบ เริ่มต้นจากแยกขยะอาหารออกก่อนเลย และจำแนกขยะพลาสติก กระดาษ และอื่นๆ ตามลำดับ เป็นระดับบีกินเนอร์ที่ไม่ว่าออฟฟิศไหนก็เริ่มทำได้
• เกิดตรงไหน แยกตรงนั้น เช่น กล่องทิ้งเศษกระดาษ และลวดเย็บกระดาษที่ห้องถ่ายเอกสาร
• ทำตัวอย่างให้ชัดเจน อาจมีตัวอย่างขยะแปะไว้ เพื่อป้องกันให้คนข้างหลังไม่งงว่าอะไรควรทิ้งถังไหน
• บอกที่ไปของขยะ เช่น ฝาขวดน้ำพลาสติก สร้างภาชนะใหม่ได้ด้วยการบดรวมกัน หรือฝาอะลูมิเนียมบริจาคไปทำขาเทียม
นอกจากการแยกขยะแล้ว เราก็สามารถช่วยกัน ‘ลดขยะ’ กันตั้งแต่ต้นทาง โดยจะชวนเพื่อนๆ มาทำกันเป็นทีม หรือจะจัดเป็นแคมเปญเล็กๆ ให้ทั้งออฟฟิศมาร่วมลดกันก็ยังได้
• แบ่งปันภาชนะ ชวนทุกคนมาแบ่งภาชนะกันใช้ เพื่อลดขยะจากกล่องอาหารกลางวัน หรือแก้วเครื่องดื่ม
• สร้างบาร์กาแฟ ชวนเพื่อนๆ เอาเมล็ดกาแฟมาแบ่งกันกิน ลดการใช้แก้วจากคาเฟ่ต่างๆ ได้
• สเตชันถุง เตรียมถุงผ้า ถุงพลาสติก หรือถุงกระดาษไว้สำหรับลงไปซื้อของนอกออฟฟิศ เคล็ดลับคือวางไว้ใกล้ประตูทางเข้า–ออก เพื่อให้คนที่ลืมพกมา หรือไม่อยากเดินกลับไปเอาที่โต๊ะหยิบใช้ได้เลย
สำหรับใครที่พลาดกิจกรรม Greenery Healthy Workplace ไปก็ไม่ต้องเสียดาย เพราะคุณก็สามารถหยิบทริกเล็กๆ น้อยๆ จากบทความนี้ไปปรับใช้ ให้ชาวออฟฟิศได้กินดีและกรีนดีไปพร้อมกัน หรือถ้ามีไอเดียอะไรก็มาแชร์กันต่อได้ เรายินดี!
ช่องทางการแบ่งปัน (ทางกลุ่มเฟซบุ๊ก): Greenery Challenge / Greenery Eat Good / Eco & Green Marketplace ตลาดบางอีโค่
ภาพประกอบ: Greenery.