ในบรรดาอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ พูดได้ว่า ‘น้ำส้มสายชูหมัก’ นั้นครองตำแหน่งพระเอกมานาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและบรรดาโรคอายุรกรรมทั้งหลาย น้ำส้มสายชูหมักแทบจะเรียกว่าเป็นอาหารเสริมสามัญประจำบ้าน ผู้ใหญ่หลายคนถึงกับมีสูตรน้ำหมักของตัวเอง ส่งต่อความเชื่อด้านสรรพคุณนานาชนิดผ่านกลุ่มคนรักสุขภาพด้วยกัน ในวงเล็บว่า แม้สรรพคุณบางข้อจะยังไม่ได้รับการรับรองทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม

ไม่เท่านั้น เพราะในระยะหลัง น้ำส้มสายชูหมักถูกสปอตไลท์ฉายลงมาอีกครั้ง เมื่อคนรุ่นใหม่หันมาดูแลสุขภาพกันอย่างคึกคัก น้ำส้มสายชูหมักจึงกลายเป็นอาหารเสริมช่วยลดน้ำหนัก รักษาหุ่น รวมถึงช่วยในเรื่องความสวยความงามของสาวๆ จนทำให้ราคาของน้ำส้มสายชูหมักในท้องตลาดสูงลิ่ว แต่วงเล็บไว้อีกเช่นเดียวกันว่า แม้สรรพคุณหลายข้อที่ถูกส่งต่อกันผ่านโลกออนไลน์ของมันจะยังพร่าเลือน และไม่มีคำยืนยันที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็ตามที

เมื่อกลับมาพิจารณารายละเอียดของน้ำส้มสายชูหมักอย่างลงลึก เราพบว่าแม้สรรพคุณน่าอัศจรรย์อย่างการรักษามะเร็งหรือโรคร้ายต่างๆ ของน้ำส้มสายชูหมักจะเป็นเพียงเรื่องประโลมใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำส้มสายชูหมักจากผลไม้ยังมีสรรพคุณอีกมากมายที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าดีจริง เพียงพอให้เราเลือกจิบมันแทนน้ำหวานในเวลาที่ต้องการความสดชื่นเร่งด่วน 

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องสรรพคุณน่าสนใจ เราคงต้องคลี่ความเข้าใจกันก่อนว่าน้ำส้มสายชูหมักนั้นคือผลลัพธ์ของการหมัก ‘ผลไม้’ กับน้ำตาลจนกลายเป็นกรดน้ำส้ม โดยผลไม้ที่นิยมนำมาหมักนั้นไล่เรียงมาตั้งแต่แอปเปิ้ล (กลายเป็น Apple Cider ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก) รวมถึงลูกพลัม และเบอร์รี่นานาชนิด ก็สามารถใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการหมักน้ำส้มสายชูได้เช่นกัน 

เมื่อกรดในผลไม้สุกกับน้ำตาลทำปฏิกิริยากันผ่านระยะของการเป็นแอลกอฮอล์ไปแล้ว ก็จะให้ผลลัพธ์เป็นกรดน้ำส้มรสเปรี้ยวเจือหวาน หอมกลิ่นผลไม้แต่ละชนิดเป็นเอกลักษณ์ และหากนำกรดน้ำส้มนี้มาผ่านการกลั่นก็จะได้เป็นน้ำส้มสายชูปราศจากกลิ่นรสสีขาวใสอย่างที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา ทว่าถ้าถามถึงเรื่องสารอาหารและคุณประโยชน์นั้น กรดน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านการกลั่นย่อมมีสารอาหารมากกว่า และจุดนี้เองคือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารให้ความสนใจศึกษากระทั่งการันตีข้อดีของน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติไว้ดังนี้

ข้อแรก น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาตินั้นมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย ในยุคกรีกโบราณ บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบันอย่างฮิปโปเครติสใช้น้ำกรดน้ำส้มในการล้างแผล หรือดื่มแก้อาหารเจ็บคอ และอย่างที่หลายคนรู้กันว่า แม่ครัวทั่วโลกต่างใช้กรดน้ำส้มในการหมักดองเพื่อถนอมอาหาร นั่นก็เพราะมันสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียอย่างอีโคไล (E. coli) ที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้นั่นเอง ประการต่อมา การแพทย์สมัยใหม่ยืนยันแล้วว่า น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาตินั้นช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้จริงหากดื่มอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่เหมาะสม นั่นคือวันละไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ โดยผลวิจัยระบุว่า ผู้ดื่มน้ำส้มสายชูหมักผสมน้ำเปล่าก่อนนอนนั้น เมื่อเช้าขึ้นมาจะมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง ทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่มึนศีรษะอย่างที่เรามักถูกจู่โจมหลังตื่นนอน 

ส่วนประโยชน์ที่สาวๆ ผู้รักสุขภาพน่าจะปลาบปลื้มเป็นพิเศษก็คือ น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาตินั้นช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่ใช่เพราะมันช่วยดูดซึมไขมันหรือช่วยระบบย่อยอาหารอย่างมากมายแบบที่แพร่หลายในอินเทอร์เน็ต ทว่าเพราะมันช่วยทำให้เรา ‘อิ่มเร็วขึ้น’ เมื่อดื่มควบคู่กับอาหาร โดยผลวิจัยระบุว่าการดื่มน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาตินั้นช่วยทำให้เรากินอาหารลดลงได้ราว 200-275 แคลอรี่ทีเดียวเชียว  

และเพราะน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาตินั้นให้พลังงานเพียง 3 แคลอรี่/ช้อนโต๊ะ จึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการอดอาหารเพื่อสุขภาพ (Fasting diet) ช่วยเติมความสดชื่นแบบไม่ต้องพึ่งพาน้ำหวาน ทำให้ช่วงเวลาในการอดอาหารมีสุนทรียะขึ้นอีกระดับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากใครมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนดื่มน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติจะดีที่สุด ด้วยสุขภาพร่างกายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ในการกินจึงแตกต่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทำน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติ จากกล้วยน้ำว้า

เรื่องน่าสนใจก็คือ น้ำส้มสายชูหมักธรรมชาตินั้นสามารถทำเองได้ง่ายๆ ในครัวของเรา ด้วยส่วนผสมสำคัญนั้นมีเพียงผลไม้สุกปลอดสารพิษ และน้ำตาลหรือน้ำผึ้ง รวมถึงเวลาในการรออย่างใจเย็นกระทั่งได้เป็นกรดน้ำส้มชั้นดี และต่อไปนี้คือสูตร ‘น้ำส้มสายชูหมักจากกล้วยน้ำว้า’ ที่เราเรียนรู้มาจากสวนเรียนรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์พันพรรณ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งรับรองได้ว่าทั้งง่าย ประหยัด และได้ผลลัพธ์เป็นน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติรสชาติดี ที่ทำไปปรุงอาหารก็ได้ ชงเป็นเครื่องดื่มก็อร่อยชื่นใจ!

ส่วนผสมสำคัญ

กล้วยน้ำว้าสุก 3 ส่วน
น้ำผึ้งหรือน้ำตาลกรวด 1 ส่วน
น้ำสะอาด
โหลแก้วล้างสะอาด และผึ่งแดดจนแห้งสนิท 

ขั้นตอนการหมัก

1. ปอกกล้วยน้ำว้าเรียงใส่ในโหลแก้ว เติมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามลงไป เติมน้ำสะอาดพอท่วมกล้วย (สังเกตให้ท่วมกล้วยสัก 2 นิ้ว)

2. ปิดโหลแล้ววางทิ้งไว้ในที่แห้งไกลจากแสงแดด ณ อุณหภูมิห้อง เมื่อเวลาผ่านประมาณ 3-4 วันจะเริ่มมีฟองอากาศเกิดขึ้นในโหล และจากนั้นน้ำหมักจะเริ่มกลายเป็นแอลกอฮอล์อ่อนๆ หลังจากนั้นราว 2 สัปดาห์ ส่วนผสมทั้งหมดจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียจนกลายเป็นกรดน้ำส้มปราศจากแอลกอฮอล์ หรือสามารถสังเกตด้วยการเปิดดม หากไร้กลิ่นแอลกอฮอล์ก็มั่นใจว่าใช้ได้ 

ที่มาข้อมูล:
www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10232627
https://care.diabetesjournals.org/content/30/11/2814.full

ภาพถ่าย: ม็อบ อรุณวตรี