‘คัก-คริส-มัด’ ประกอบขึ้นจากคำสามคำ หนึ่งคือ ‘คัก’ ที่แปลว่าดีที่สุดในภาษาอีสาน ‘คริส’ จากการย่นย่อชื่อของเทศกาลอย่างคริสต์มาส และ ‘มัด’ ที่หยิบมาจากพยางค์แรกของคำว่า ‘มัดหมี่’ อัตลักษณ์สำคัญประจำเมืองขอนแก่น เป็นผลงานออกแบบต้นคริสต์มาสจากการร่วมมือกันของ ชมพู่-กาญจนา ชนาเทพาพร ผู้ก่อตั้ง BWILD ISAN และ ตั้ม-พงศกร อ้นประดิษฐ์ สถาปนิกจาก ATTA Studio สองนักธุรกิจจากโครงการ ‘พอแล้วดี The Creator’ ที่ได้เรียนรู้และนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ โดยทั้งคู่ตีความนิยามและคุณค่าของเทศกาลคริสต์มาสในมุมมองใหม่ภายใต้ธีมงาน ‘Miracle of MudMee’ ณ เซ็นทรัล ขอนแก่นเมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา

วันที่ได้เจอกับชมพู่และตั้ม ทั้งคู่พาเราย้อนเวลากลับไปเมื่อราวหนึ่งปีก่อน เพื่อเล่าถึงการเดินทางของโพรเจกต์ดังกล่าวก่อนที่ คัก-คริส-มัด จะกลายเป็นต้นไม้แห่งความสุขต้นนี้ ที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนรูปแบบต้นคริสต์มาสแบบเดิมให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจระหว่างกันในทุก ๆ องคาพยพในโครงการเท่านั้น แต่โพรเจกต์ดังกล่าวยังเป็นตัวอย่างของการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงศักยภาพของฝีมือคนตัวเล็ก ๆ ในชุมชน ไปพร้อม ๆ กับการพิสูจน์ให้เห็นว่า งานออกแบบสามารถสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้จริง แถมยังผลิตผลกำไรออกมาเป็นความสุข ความภูมิใจ และแรงบันดาลใจที่จะติดตัวพวกเขาและทีมงานไปตลอดกาล

ปัญหาคือโอกาสทองของคนที่มองเห็น
ชมพู่และตั้มเล่าถึงความตั้งใจของการร่วมงานกันครั้งนี้ให้เราฟังว่า คัก-คริส-มัด คือการออกแบบเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่คนและเมือง ทั้งการเผยแพร่ภูมิปัญญาและงานเชิงช่างที่เข้มแข็งมาก ๆ ของจังหวัดผ่านการออกแบบ การเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างมดงานทุกคน ทั้งฝ่ายออกแบบ ช่างฝีมือ นักศึกษา ร้านค้าท้องถิ่น ผู้รับเหมา และเซ็นทรัล ขอนแก่น ผู้เป็นเจ้าภาพ เพื่อให้ได้มาทำงานใหญ่ประจำปีของจังหวัดร่วมกัน

ชมพู่: “โพรเจกต์นี้เกิดขึ้นจากการที่เราเห็นปัญหาอย่างเวลาที่มีเทศกาลต่าง ๆ เกิดขึ้น การจัดกิจกรรมมักเป็นระบบการทำงานแบบผูกขาดคนทำงานเพียงไม่กี่เจ้า เนื่องจากสะดวกต่อการจัดการภายใต้ข้อจำกัดของเวลา ขณะที่เรามองว่าถ้างานสร้างสรรค์นั้นเป็นหนึ่งงานของเมือง จะดีกว่าไหมหากมันสามารถเปิดโอกาสหรือสร้างอะไรให้คนในเมืองได้มากกว่านี้ เราจึงอยากเปลี่ยนเทศกาลคริสต์มาสให้กลายเป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างคุณค่าให้กับชุมชนของเราได้มากขึ้น และกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง

“ในเวลาเดียวกัน เราเองก็เห็นโอกาสอยู่ในปัญหานั้นด้วย โดยอยากใช้เวทีการจัดเทศกาลของภาคเอกชนแห่งนี้ เป็นพื้นที่ที่สามารถสร้างงานและความภาคภูมิใจให้กับคนตัวเล็ก ๆ อย่างช่างฝีมือท้องถิ่นและธุรกิจในชุมชน เลยนำความคิดนี้ไปคุยกับตั้ม เราทั้งคู่ต่างเห็นไปในทางเดียวกัน และเห็นศักยภาพของพวกเราเองว่าน่าจะทำได้ จึงนำความตั้งใจนี้ไปคุยกับทางเซ็นทรัล ขอนแก่น จนกระทั่งได้รับโอกาสให้ดูแลโครงการ คัก-คริส-มัด นี้ขึ้นมาจริง ๆ”

พลังจากคนตัวเล็ก
ชมพู่: “ด้วย BWILD ISAN และ ATTA Studio ต่างทำธุรกิจโดยให้ความสำคัญและให้คุณค่าความเป็นคนมากกว่าทุกสิ่งมาโดยตลอด งานครั้งนี้ก็เช่นกันที่เราอยากให้เป็นเทศกาลของทุกคนจริง ๆ ดังนั้น นอกจากความสวยงามแล้ว เราเลยตั้งคำถามก่อนเริ่มงานว่า จะเป็นไปได้ไหมที่งานครั้งนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของการร่วมแรงร่วมใจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วในระยะเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์ เราก็สามารถรวบรวมกลุ่มคนตัวเล็กมาร่วมด้วยช่วยกันได้ถึง 15 กลุ่มชุมชนในท้องที่ของเรา ตั้งแต่กลุ่มแม่บ้านดอนหญ้านาง น้อง ๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรองที่ห่างไกลโอกาสที่จะได้ทำงานแบบนี้ ผู้สูงอายุที่ยังคงมีภูมิปัญญา รู้ว่ามัดหมี่และวิธีมัดย้อมทำอย่างไร รวมถึงร้านค้าต่าง ๆ ในชุมชน ทั้งร้านไม้ไผ่ ช่างเหล็ก ช่างไม้ กลุ่มทอผ้า โดยทำงานร่วมกันกับผู้รับเหมาจากทางเซ็นทรัลด้วย”

ความน่าสนใจของผลงานดังกล่าวคือการเลือกใช้วัสดุจากชุมชน 100% เพื่อลดการขนส่ง การออกแบบให้ทุกวัสดุที่เป็นส่วนประกอบการตกแต่งสามารถนำกลับไปใช้ซ้ำและต่อยอดคุณค่าต่อไปได้ การเปิดโอกาสให้เกิดการทำงานใหญ่ประจำปีของจังหวัดร่วมกันระหว่างคนตัวเล็กและภาคเอกชน

“เราไม่ได้อยากให้มีความเป็นฝรั่งจ๋า ๆ แต่อยากสะท้อนความสุขแบบอีสาน และใช้แนวทางตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยเชื่อมั่นว่าหากเราใช้และให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น แล้วถ้าทำได้สำเร็จ เราจะสร้างภูมิคุ้มกันและความภูมิใจให้กับชุมชนได้เลย เพราะฉะนั้น เราจึงพยายามใช้อัตลักษณ์ในเรื่องวัตถุดิบท้องถิ่นให้มากที่สุด ทั้งในขอนแก่นเอง รวมทั้งที่อื่นทั่วภูมิภาคอีสาน ตั้งแต่ไม้ไผ่ 800 ลำและผ้าฝ้ายธรรมชาติจากขอนแก่น ไปจนถึงกระสวยทอผ้า 500 ชิ้นจากกลุ่มแม่บ้านทอผ้าที่จังหวัดร้อยเอ็ด ในทุกขั้นตอน เราจะคิดตั้งแต่ต้นเลยว่าจะทำให้ทุกองค์ประกอบของผลงานชุดนี้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อได้อย่างไร ดังนั้น กระบวนการเลือกวัสดุและวิธีการทำงานเลยคำนึงถึงความยั่งยืนมาตั้งแต่ต้น”

ทีมออกแบบหยิบเอาไอเดียของเส้นฝ้ายและเส้นไหมเล็ก ๆ มารวมกันเป็นลำหมี่ ใช้เทคนิคการมัดหมี่ด้วยเชือกฟาง ใช้ลำไม้ไผ่และเส้นหมี่ยักษ์ที่มัดหมี่เป็นลายกง ซึ่งหมายถึง อาณาเขต ความปลอดภัย ความมั่นคง และลายโคม อันเป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของชาวขอนแก่น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการเลือกดวงดาวที่ทำจากกระสวยทอผ้ากว่า 500 ชิ้น มาผสมผสานกับงานฝีมือของช่างในท้องถิ่นทั้ง 15 ทีม โดยหลังจากจบเทศกาล วัสดุทุกชิ้นสามารถนำมาออกแบบเพื่อส่งต่อไปทำประโยชน์ให้กับเมืองและผู้คนได้ต่อไป

ชมพู่: “เราตั้งใจออกแบบชิ้นงานที่จะสร้างประโยชน์ให้กับคนและเมืองในหลาย ๆ มิติ อยากเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั่วทั้งภูมิภาคอีสานผ่านการออกแบบ ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเพียงแค่นำมัดหมี่มาเป็นสิ่งประดับประดาเฉย ๆ แต่อยากถ่ายทอดถึงแก่นของมัดหมี่ที่กว่าจะได้แต่ละลำหมี่จะต้องผ่านเชือกที่ประกอบกันหลายเส้นรวมกันเป็นหนึ่งลำ และในหนึ่งลำก็สร้างลายไม่ได้ ต้องรวมหลาย ๆ ลำ ผ่านกระบวนการมัดจนสร้างเป็นลวดลายขึ้นมา เพื่อชวนผู้ชมให้สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของภูมิปัญญาที่อีสานมี”

ตั้ม: “ในแนวคิดยังมีแกนที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือเราต้องการให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม แต่เดิม หากเป็นเทศกาลลักษณะนี้ ห้างร้านมักจะทำงานกับผู้รับเหมาหรือบริษัทเพียงไม่กี่ที่เพื่อความสะดวกและให้เสร็จทันเวลา เนื่องด้วยเราอยากให้เกิดการกระจายรายได้นี่แหละที่เป็นเหตุผลของการเข้ามาทำงานนี้ ดังนั้น เราจึงจัดสรรค่าใช้จ่ายอย่างเป็นสัดส่วนชัดเจนและส่งถึงมือพวกเขาจริง ๆ เพราะฉะนั้น มันจึงมีความซับซ้อนมากกว่าการดีไซน์ปกติ”

เมื่อเข้าใจ เข้าถึง จึงพัฒนา
ตั้มเล่าให้เราฟังต่อว่า พวกเขานำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางการทำงานร่วมกันผ่านสามห่วงสองเงื่อนไข ห่วงแรก คือการรู้จักตน โดย BWILD ISAN และ ATTA Studio เลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นท้องถิ่นของอีสาน ทำงานร่วมกับทีมช่างฝีมือท้องถิ่นและปราชญ์ชาวบ้าน ห่วงที่สองคือความมีเหตุผลที่ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งส่งผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและยังสามารถรียูสได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไม้ไผ่ งานผ้าฝ้าย งานปมไหม งานกระสวยทอไหม ห่วงที่สามคือภูมิคุ้มกัน โดยจะมีการตรวจสอบคุณภาพงานตัวเองให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดและใช้ค่า Carbon Footprint เป็นเกณฑ์มาตรฐาน

ตั้ม: “ส่วนอีกสองเงื่อนไขคือความรู้คู่กับคุณธรรม ความรู้คือเราออกแบบโดยนำหลักการของแฟชั่นดีไซเนอร์มาผนวกกับหลักการของงานสถาปัตย์ ที่มากกว่านั้น ด้วยความที่งานนี้เป็นพื้นที่สาธารณะ เราจึงนำความรู้ด้านวิศวกรรมโดยมีวิศวกรเข้ามาตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยด้วย ส่วนระบบการทำงานของพี่พู่และผม เราต้องการสร้างความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ตั้งแต่ทีมช่าง ซัพพลายเออร์ ร้านขายไม้ไผ่ ร้านขายวัสดุก่อสร้าง และอื่น ๆ อย่างที่บอก เราจึงพยายามตั้งอัตราค่าตอบแทนอยู่ในราคาที่พวกเขาสามารถยืนหยัดได้ เราคิดว่าทุกคนมีความสุขจากการทำงานร่วมกับเรา ด้วยการทำงานบนความเคารพซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าเราเห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาทำจากใจจริง”

ชมพู่: “ด้วย BWILD ISAN มีความเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ เราจึงมีวิธีที่เชื่อมโยงไปกับวิถีชีวิตและภูมิปัญญาในเรื่องการทอผ้า ซึ่งเป็นอย่างนี้มาตลอด ฉะนั้น วิธีการมองคำว่า ‘ไหมมัดหมี่’ จึงไม่ได้มองในเรื่องของวัสดุเลย แต่มองไปถึงนิเวศและรากเหง้าของภูมิปัญญาจริง ๆ ว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้ทรงคุณค่า น่าเคารพ ให้มันคักและว้าวได้อย่างไร”

ตั้ม: “ด้วยแนวคิดหลักที่มองไปถึงวิถีชีวิตและรากเหง้าของไหมว่ามีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนอีสานอย่างไรแบบที่พี่พู่ว่า เราพบว่าไหมอยู่คู่และเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนอีสานมาช้านาน จึงได้ตีความโดยนำเรื่องการเลี้ยงและทอไหมมาสื่อสารเป็นเรื่องราว เป็นต้นกำเนิดเพิ่มเติม มากกว่าการโชว์ผ้าไหมทั่วไป นั่นจึงนำไปสู่ไอเดียที่เราได้นำกระสวยทอผ้าไหมมาร้อยเรียงให้เป็นรูปดาวกระจายและตกแต่งบนต้นคริสต์มาส

“หน้าที่หลักของทีม ATTA Studio คือการจัดเรียงระบบการตกแต่งและโครงสร้างให้ผสมผสานกันได้ เนื่องจากโครงสร้างเดิมของต้นคริสต์มาสเป็นโครงสร้างเหล็ก ขณะที่เราอยากให้แบ็คกราวด์เป็นสีเขียวและดูเป็นธรรมชาติ เลยเลือกใช้ลำไผ่มาหุ้มโครงสร้างเหล็กทั้งหมด จากนั้น ก็ไล่ทำเลเยอร์ที่สองซึ่งเป็นโครงสร้างไม้ไผ่เหมือนกัน แต่ว่าใช้การสานเป็นลายไหม ส่วนเลเยอร์ที่สามและสี่จะเป็นองค์ประกอบการตกแต่งของตัวแผงไหมมัดหมี่ ซึ่งเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดตามแพทเทิร์นของผ้าไหมอีสาน ซึ่งได้ทีมน้อง ๆ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน และมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มาช่วยกันทำงานคราฟท์ชิ้นนี้ให้เกิดขึ้น จากนั้นก็มีดาวกระจายตกแต่งเพิ่มเติมประมาณ 26 ดวงรอบ ๆ ผ้าไหม ตัวดาวกระจายนี้ทำจากกระสวยทอด้าย แล้วนำมาร้อยเรียงด้วยการตกแต่งเป็นทรงกลม ให้ดูเป็นรูปดาวกระจาย เรียกว่าเราทำคล้าย ๆ กับรูปดาวของต้นคริสต์มาสทั่วไป นอกจากนี้ เรายังใช้สีแดงและสีทองมาผสมกันเพื่อทำให้รู้สึกว่าเป็นเทศกาลที่สดใสมากขึ้นครับ”

มากกว่าเม็ดเงิน คือโอกาสและความภูมิใจในตัวเอง
ตั้ม: “ณ วันนี้ กับการที่ คัก-คริส-มัด จบลงไปเกือบปี ในแง่หนึ่งเราได้รับฟีตแบ็คที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้รับรางวัลจาก Creative Excellence Awards ประจำปี 2025 ด้าน Collaboration Award ผมคิดว่าภาคเอกชนหลาย ๆ แห่ง เริ่มเล็งเห็นโอกาสเหล่านี้ ทางเซ็นทรัลเองก็มีความภาคภูมิใจและอยากจะต่อยอดกับพื้นที่อื่น ๆ ของเขาต่อไป โดยจะมีการทำงานร่วมกับนักออกแบบและคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งเรารู้สึกยินดีมากที่งานของพวกเราเป็นส่วนสำคัญในการจุดประกายสิ่งเหล่านี้ ผมเชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีอีเว้นท์ที่สร้างสรรค์เพื่อผลกระทบทางสังคมต่อไปครับ”

ชมพู่: “ความคาดหวังที่เราอยากให้เกิดขึ้นหลังจากที่ทำโพรเจกต์นี้ คืออยากให้ทุกคนมองเห็นคุณค่าพื้นที่ของตัวเอง ไม่ทิ้งขว้างอะไรบางอย่างโดยเฉพาะเรื่องของคน และเห็นโอกาสของการสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งคน ชุมชน และธุรกิจ ซึ่งน่าจะมีเพิ่มมากขึ้นได้ เราคิดว่าการโฟกัสแค่ธุรกิจของเราฝ่ายเดียวในขณะที่คนอื่นลำบากหรือหมดทางไป ไม่ได้สร้างผลกระทบที่ดีอีกต่อไปแล้วในยุคนี้ ฉะนั้น แม้เราอาจจะช่วยคนในสังคมไม่ได้ทุกคน แต่อย่างน้อย ๆ เราทำให้ความคิดนี้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่แนวคิดสวย ๆ แต่เป็นได้แค่นั้น โดยไม่มีใครนำไปลงมือทำ

“ผลลัพธ์ที่เราถือเป็นรางวัลคือคนหันมาเห็น มาฟัง และยอมรับในสิ่งที่เราทำว่างานครั้งนี้เป็นความคิดที่ดี เมื่อทั้งภาคเอกชนและสาธารณชนได้เห็นงานนี้เป็นตัวอย่างแล้ว เราหวังว่าในการทำงานครั้งถัด ๆ ไป พวกเขาจะสามารถเข้าใจในจุดยืนของการสร้างความยั่งยืนในแบบที่เราพยายามจะทำไปด้วยกันได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การส่งต่อคุณค่าให้กับคนและเมืองได้มากขึ้นตามมา สิ่งที่เราคาดหวังให้เกิดขึ้นต่อไป คือการสานต่ออย่างจริงจัง ไม่ใช่เป็นเพียงหนึ่งกิจกรรมที่จบแล้วจบเลย หรือกลุ่มที่เราพยายามขับเคลื่อนโอกาสหายไป เราอยากเห็นการถูกต่อยอด การยื่นมือ การให้โอกาสกันต่อไปเรื่อย ๆ

“เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเทศกาลอะไรก็ตามที่มีการใช้เม็ดเงินเกิดขึ้นในท้องถิ่น เราอยากให้โมเดลนี้เป็นต้นแบบหนึ่งที่สามารถหยิบไปใช้ต่อได้ ซึ่งคงจะดีกว่าถ้าสามารถเชื่อมโยงกันด้วยระบบนี้ที่ส่งผลให้ชุมชนได้รับโอกาสบ่อย ๆ เพื่อให้รายได้ถูกกระจายออกไปและยังช่วยพัฒนาทักษะที่เขามีให้แข็งแกร่งกว่าเดิม เพราะปัญหาในทุกวันนี้คือคุณภาพยังไม่ได้ ซึ่งในมุมมองเราแล้ว หากไม่ให้โอกาสพวกเขา ก็คงน่าเสียดายมาก ๆ ที่การพัฒนาคุณภาพจะหยุดอยู่กับที่ ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้เป็นคนมีฝีมือ สำหรับเรา การที่คนในท้องถิ่นจะเติบโตจนหยั่งรากให้ลึกขึ้นได้ เราต้องเริ่มจากการให้โอกาสก่อน จากนั้นมันจึงจะเกิดผลงานที่มีคุณภาพตามมา”

ตั้ม: “ผมมีแพลนอยู่ว่าอยากจะทำนิทรรศการเล็ก ๆ ในเรื่องการรียูสองค์ประกอบของต้น คัก-คริส-มัด ร่วมกับเซ็นทรัล เพราะว่าเรามีดีไซน์เพิ่มเติมว่าเรื่องของโครงเหล็กในการตกแต่ง เราสามารถนำมาปรับเป็นที่นั่งเล่น เป็นโต๊ะนั่งเล่นสำหรับเด็ก ๆ นักเรียนได้ หรือดาวกระจายที่ทำขึ้นจากกระสวยทอไหม ก็สามารถนำมารีดีไซน์เป็นโคมไฟได้ ซึ่งตอนนี้เรากำลังคุยกับเซ็นทรัลอยู่ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนหากเราจะขอจัดนิทรรศการรูปแบบนี้ในช่วงเวลาครบรอบหนึ่งปีของนิทรรศการ เพื่อสื่อสารกับคนในขอนแก่นว่าต้นคริสต์มาสเมื่อปีที่แล้วสามารถดีไซน์ออกมาเป็นรูปแบบนี้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อยอดไปได้นะ”

ชมพู่: “ในส่วนของชุมชนท้องถิ่นที่เราโฟกัส เราตระหนักอยู่เสมอว่า พวกเขาจะต้องได้รับโอกาส หรือได้ทำงานร่วมกับเราไปพร้อม ๆ กันในอนาคตด้วยเช่นกัน ซึ่งเรามองว่าการต่อยอดที่อยากจะทำให้ต่อเนื่องในอนาคต คือการทำให้งานต่อ ๆ ไปมีความลึกขึ้น เช่น สามารถวัดผลได้ สามารถจับต้องได้มากขึ้น สร้างผลกระทบต่อหลายกลุ่มชุมชนได้มากขึ้น สร้างผลประโยชน์ให้กับธุรกิจต่าง ๆ ที่สำคัญคือ อยากให้การต่อยอดต่อเนื่องและยั่งยืนจริง ๆ โดยไม่หลุดออกไปจากสิ่งที่เราถนัดและสนใจค่ะ”

บันทึกความทรงจำสุดคัก
ตั้ม: “ผมมองว่าจุดเริ่มต้นในการทำงานของเรา เราเป็นทีมดีไซเนอร์ที่มองคนเป็นศูนย์กลาง ดังนั้น ผลกระทบด้านหนึ่งที่เราได้รับคือรอยยิ้มของผู้คนที่เราร่วมงานด้วย ขณะที่ผลกระทบอีกด้านหนึ่งคือเสียงวิพากย์จากผู้ชมบางส่วนที่อาจจะยังไม่เข้าใจผลงาน หรืออาจไม่พอใจผลงานที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสให้เราได้สังเกต สำรวจ และเรียนรู้ไปด้วยว่าในแง่มุมนี้ เราต้องรับฟังและอาจต้องปรับบางมิติเพื่อเชื่อมต่อกับสังคมให้ได้มากขึ้น โดยที่ยังมีประโยชน์ของส่วนรวมเป็นโจทย์ใหญ่”

ชมพู่: “งานครั้งนี้ตอกย้ำว่าเรื่องคนสำคัญมาก ซึ่งไม่ใช่ว่าสิ่งแวดล้อมไม่สำคัญหรือเราไม่สนใจนะคะ แต่ด้วยงานที่ทำ เราทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยมากจริง ๆ ยิ่งคนในชุมชน อย่างปราชญ์ชาวบ้าน ช่างฝีมือ เป็นกลุ่มผู้ชำนาญที่สร้างผลงานตัวเองอย่างช้า ๆ และทำแต่น้อย ซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยมาก ดังนั้น งานของเราแทบจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ต้องได้รับการแก้ไขมากที่สุด คือคุณภาพชีวิตของคน ความภาคภูมิใจในความเป็นคน ความร่วมไม้ร่วมมือระหว่างคน การร่วมทุกข์ร่วมสุข ความแข็งขัน มุมานะ ความไว้ใจและรับผิดชอบต่อกันและกันต่างหากที่กำลังหายไปจากคนในเมืองของเรา จากประเทศของเรา

“พอได้ทำงานในโพรเจกต์นี้ รางวัลชิ้นใหญ่ที่ได้ คือการที่เราสามารถเรียกสิ่งต่าง ๆ ที่เพิ่งพูดไปกลับมาได้ รวมไปถึงการทำงานกับทีม คัก-คริส-มัด ทุกคนที่เราเห็นระหว่างทางเลยว่า เวลาที่มีความยากเกิดขึ้น แต่ละทีมมีบทบาทเข้ามาเป็นผู้นำในพาร์ทตัวเองอย่างไรและทำได้ดีขนาดไหน ตัวเราเองก็ไม่ได้เก่งทุกวัน มีบางวันอาจจะคิดน้อยไป คิดไม่ครอบคลุม หรือบางเรื่องที่เราไม่ชำนาญเลยสักนิด แต่เราได้เห็นบทบาทของกันและกันในการลุกขึ้นมาจัดการให้ปัญหาต่างๆ หมดไปร่วมกันได้ และแม้งานนี้จะสิ้นสุดลง แต่สายสัมพันธ์และความผูกพันยังคงอยู่ในชุมชนของเรา และเราอยากเห็นสิ่งเหล่านี้แบบที่ยืนยาวและยั่งยืนต่อไปแม้แต่ในวันที่ไม่มีพวกเราแล้ว”

แม้เส้นทางกว่าที่ต้นไม้แห่งความสุขนี้จะเติบโตเป็นต้นคริสต์มาสที่สมบูรณ์ จะขรุขระไปบ้างอย่างที่ชมพู่และตั้มเล่าให้เราฟัง แต่ในความไม่ราบรื่นนั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความภาคภูมิใจ เราว่านี่แหละคือผลกระทบเชิงบวกที่กำลังจะแผ่วงกว้างไปเรื่อย ๆ ด้วยน้ำมือและฝีมือจากคนตัวเล็ก ๆ เหล่านี้

ภาพถ่าย: BWILD ISAN, ATTA Studio, Central Pattana และศูนย์การค้าเซ็นทรัล ขอนแก่น