เราขอเริ่มต้นเรื่องนี้ด้วยการชวนคุณมาทำเช็กลิสต์ว่า คุณเข้าข่ายการเป็น ‘นักลูป’ แค่ไหน?

  • มีเสื้อผ้าแน่นเต็มตู้ แต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะใส่
  • เคยเคลียร์เสื้อผ้าด้วยการโพสต์ขายออนไลน์ แต่ทำไปก็ท้อไปทุกที
  • มีความเชื่อว่าเสื้อผ้าดี ๆ ควรค่าแก่การส่งต่อ
  • ภูมิใจกับการได้ใช้ของมือสอง สมบัติต้องผลัดกันชม
  • อินกับเรื่องราวและความทรงจำดี ๆ
  • อยากทำอะไรเพื่อโลก แต่ขอเริ่มจากเรื่องใกล้ตัวก่อน

ถ้าคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่แม้จะเพียงข้อเดียว เราขอเชิญเข้าสู่วงการ ‘นักลูป’ ที่ช่วยต่อจิ๊กซอว์ให้โลกยั่งยืนขึ้นด้วยการเริ่มต้นที่ตู้เสื้อผ้ากัน!

“นักลูปมาจากคำว่า Loopers นี่แหละค่ะ มันเป็นคอมมูนิตี้ที่น่ารักของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่นำเสื้อผ้ามาฝากขาย หรือคนที่เข้ามาซื้อเสื้อผ้ามือสองในแพลตฟอร์มเรา บางคนใส่ชุดที่ซื้อไปแล้วโพสต์รูปแท็กมาที่ Loopers เจ้าของเดิมได้เห็นก็ดีใจ มีกระทั่งส่งข้อความมาว่า ฝากถามเจ้าของคนเดิมได้ไหมคะว่าใช้น้ำยาซักผ้ากลิ่นอะไรเพราะหอมจังเลย หรือครั้งหนึ่งพี่ซินดี้ (สิรินยา บิช็อป-นางแบบ) ไลน์มาบอกว่า อยู่ที่สนามบินภูเก็ตแล้วมีคนวิ่งมาหาบอกว่ากำลังใส่เสื้อผ้าพี่ซินดี้อยู่ เขารู้สึกว่าใส่แล้วมีเอนเนอร์จี้แบบเจ้าของเดิม ขอบคุณที่ส่งต่อเสื้อผ้านี้มา พี่ซินดี้รู้สึกดีใจมาก และเหมือนได้กำลังใจกลับมา”

เกด-พิชามาศ ชัยงาม Co-founder และ CEO แพลตฟอร์ม Loopers เล่าให้เราฟังถึงสังคมของนักลูปที่มีเรื่องทัชใจมาแชร์กันอยู่เสมอ ตลอดกว่า 3 ปีที่เธอก่อตั้งแพลตฟอร์มส่งต่อมือสองคุณภาพดี

“มีอยู่คนหนึ่งส่งเบลเซอร์มาขายในแพลตฟอร์ม แล้วเขียน pre-owner message ว่า เป็นเบลเซอร์ที่ใส่ในการทำงานวันแรก ขอส่งต่อให้ first jobber รุ่นต่อไปเพื่อย้ำเตือนว่าสู้หน่อย อดทนนะ เป็นกำลังใจให้ หรือมีชุดหนึ่งน่ารักมาก เขียนมาว่า เดรสตัวนี้นะคะ ใส่ทีไรผู้ชายต้องเข้ามาขอเบอร์ (หัวเราะ) แล้วชุดก็ขายได้ ”

เรื่องเล่าชวนประทับใจแบบนี้เป็นซิกเนเจอร์ที่ทำให้ Loopers แตกต่างจากบริการซื้อขายสินค้ามือสองอื่น ๆ และการได้ฟังเส้นทางของนักลูปที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้งแพลตฟอร์มนี้ขึ้น เราก็พบเหตุผลว่าทำไมวงของนักลูปถึงขยายกว้างขึ้นในเวลาไม่นาน และการขยับตัวออกจากออนไลน์มาพบปะกับลูกค้าแบบเห็นหน้าเห็นตาอย่างการจัดงาน ‘Use Loop Repeat’ ปีละหนนั้น สร้างแรงบันดาลใจให้คนเข้ามาอยู่ในวงจรแฟชั่นยั่งยืนได้อย่างไร

จากกองเศษผ้าในโรงงาน สู่ธุรกิจแฟชั่นยั่งยืนเพื่อลดการผลิตใหม่
การเติบโตมากับธุรกิจโรงงานตัดเย็บและพิมพ์ผ้าของครอบครัว ทำให้เกดเห็นปัญหาของ ‘Fashion Waste’ หรือขยะจากอุตสาหกรรมสิ่งทอมาตั้งแต่เด็ก “มันเกิดขึ้นได้แทบจะทุกขั้นตอน พอเราเข้ามาทำงานที่โรงงาน เราก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อลดขยะเหล่านี้ลง เลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญไปถึงเรื่องมาตรฐานแรงงาน สวัสดิการพนักงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืนด้วย” เธอเล่าถึงการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและเรื่องความยั่งยืนที่นำมาใช้กับองค์กรมาตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเริ่มธุรกิจแพลตฟอร์มเสื้อผ้ามือสองอย่างจริงจัง

สิ่งที่ท้าทายสำหรับเราคือ

เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเขายังไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่เลย

แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้

“Loopers มาจากความสนใจส่วนตัว เกดชอบแต่งตัว แล้วเราเป็นเหมือน cloud closet ของเพื่อน จำได้ว่าคนนี้ชอบแต่งตัวยังไง จะแมตช์ชุดยังไง มักจะเป็นที่ปรึกษาของเพื่อนเวลาแต่งตัวไปงาน แล้วเราเป็นคนซื้อเสื้อผ้าเยอะมาก ชอบคัตติ้งเนี้ยบ ๆ จนได้ฟังพี่ลูกกอล์ฟ (คณาธิป สุนทรรักษ์) กับมารีญา (พูลเลิศลาภ) ที่ช่วงหนึ่งเขาพูดเรื่อง ‘wearวนไป’ เกดก็รู้สึกว่ามันคือตัวเราเลย เรามีเสื้อผ้าเยอะมาก แล้วทำไมเราถึงจะไม่ใช้ของที่มีอยู่ให้คุ้มค่าและนานไปกว่านี้ สิ่งที่ท้าทายสำหรับเราคือ เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเขายังไม่ซื้อเสื้อผ้าใหม่เลย แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้”

“แรก ๆ มันก็ยากนะ” เธอยิ้มสารภาพถึงการต้องตัดความชอบและความเคยชินออกไป “แต่มันก็เป็นไปได้ เริ่มจากวนใช้บ้าง ซื้อมือสองบ้าง ก็ได้พบว่าถึงเราจะซื้อน้อยลงเราก็ยังแต่งตัวสวยได้ แล้วของที่ไม่ได้ใช้แล้วสภาพยังดีอยู่ล่ะจะทำยังไง ก็เริ่มหาหนทางส่งต่อ ทั้งให้คนใกล้ตัว บริจาค เราสบายใจนะถ้าเราบริจาคแล้วเขาได้ใช้ประโยชน์ แต่การที่เราได้เห็นว่าบางทีคนรับเขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับเรา เขาก็ทิ้ง การบริจาคมันกลายเป็นการเปลี่ยนที่ทิ้งขยะ เราไม่สะดวกใจที่จะทำแบบนั้น สุดท้ายเลยลองขายเองในไอจีส่วนตัว ถ้า 5 ตัว 10 ตัวมันสนุกนะ แต่เรามีมากกว่านั้นก็เริ่มไม่สนุกละ

“เคยถามเพื่อนที่ขายในไอจี ก็พบว่าทุกคนมีปัญหาแบบเดียวกัน คือเสื้อผ้าเยอะ แต่ลงขายเองมันเหนื่อยเพราะมีงานประจำที่ต้องทำด้วย และไม่ใช่ทุกคนจะถ่ายรูปออกมาสวย หรือต้องคอยตอบข้อความตลอดเวลา แล้วยิ่งสมัยนี้คนที่ทักมาไม่ใช่ลูกค้าแต่เป็นมิจฉาชีพก็มี” เกดเล่าถึง pain point ที่ทำให้เจ้าของเสื้อผ้าเลิกล้มการขายออนไลน์ เธอเก็บปัญหาเหล่านี้มาพัฒนาแพลตฟอร์มส่งต่อเสื้อผ้ามือสองที่ชวนคนมาหมุนเวียนเสื้อผ้า โดยมี Loopers ทำหน้าที่เป็นตลาดกลางในการฝากขาย และเป็นผู้ช่วยจัดการให้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ถ่ายรูป วัดขนาด ตั้งราคา และจัดส่ง

แก้ Pain Point สู่โมเดลธุรกิจที่ช่วยลดคาร์บอนให้โลก
ประสบการณ์ในธุรกิจครอบครัว ประกอบกับการเรียนด้านบริหารธุรกิจมาโดยตรง ทำให้การเริ่มต้นของ Loopers ผ่านการวางแผนและประเมินการเติบโตของแพลตฟอร์มไว้แล้วตั้งแต่ต้น ที่แม้ธุรกิจเสื้อผ้ามือสองจะมีอยู่ไม่น้อย แต่เกดก็เห็นโอกาส

“ก่อนทำเรารีเสิร์ชหนักมาก ในไทยมีแพลตฟอร์มลักษณะ marketplace ที่ใครก็สามารถถ่ายรูปแล้วโพสต์ขายเสื้อผ้าตัวเองได้ แต่เราก็พบว่ายังไม่ใช่สิ่งที่คนไทยต้องการ เพราะมิจฉาชีพเยอะ และไม่มีฟิลเตอร์ช่วยกรอง รูปสินค้าก็ยังไม่สวย แล้วเราก็ไปพบว่ามันมีแพลตฟอร์มประเภทนี้อยู่ในระดับโลกที่เข้าตลาดหุ้นกันเยอะเลย ดังนั้นถ้าจัดการได้ดี ธุรกิจนี้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในต่างประเทศ แค่เมื่อมาทำในไทย เราต้องอึดกับมันหน่อย”

ขณะเดียวกัน เธอก็สร้างแบบสอบถามเพื่อค้นพฤติกรรมผู้บริโภคที่ยังไม่เปิดใจกับเสื้อผ้ามือสอง และหาความต้องการของผู้บริโภคว่าแพลตฟอร์มแบบไหนที่เขาอยากเห็น

“คนไม่กล้าซื้อเสื้อผ้ามือสองเพราะเขาไม่รู้ที่มาที่ไป กลัวว่าจะเป็นเสื้อผ้าของคนตาย ซึ่งเราทำตลาดในไทยเรามองข้ามอะไรแบบนี้ไม่ได้ เราเลยทำให้โปร่งใสที่สุดด้วยฟีเจอร์ที่บอกว่าเสื้อผ้าตัวนี้มากจากตู้ใคร เจ้าของเดิมคือใคร เพื่อให้เขาสบายใจว่าเสื้อผ้าทุกตัวผ่านการยินยอมในการขาย และคนขายสามารถใส่ pre-owner message ว่าเสื้อผ้าชุดนี้มีความหมายต่อเขายังไง ทำไมถึงอยากส่งต่อ

“แล้วต้องมีข้อมูลที่แม่นยำด้วย ภาพถ่ายต้องชัด รายละเอียดต้องชัด มีตำหนิต้องบอก เราอยากให้คนซื้อวางใจได้มากที่สุด เกดวัดไซส์ให้ใหม่ทุกจุดเพราะเสื้อผ้าแต่ละแบรนด์ไซส์ไม่เท่ากัน หรือแม้จะแบรนด์เดียวกันแต่คนละคอลเล็กชั่นยังไซส์ไม่เท่ากันเลย”

เราระบุ sustainability impact เอาไว้ เพื่อสร้างความตระหนักว่า แค่คุณทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ คุณก็สามารถลดการใช้พลังงานได้แล้ว

และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ “เราระบุ sustainability impact เอาไว้ด้วย ว่าถ้าซื้อเสื้อผ้าเหล่านี้ไป จะสามารถช่วยโลกได้ยังไง ซึ่งมีสูตรคำนวณที่ใช้เป็นมาตรฐานอยู่แล้วว่าผ้าแต่ละประเภท เมื่อนำมาใช้ตัดชุดขนาดกี่หลา จะใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้า สร้างคาร์บอนเท่าไร แล้วถ้าเราใช้เสื้อผ้ามือสองชุดนี้ เราลดการใช้ทรัพยากรเหล่านี้ได้เท่าไร เราใส่ข้อมูลนี้เพื่อสร้างความตระหนักให้กับคนที่เข้ามาลูปว่า แค่คุณทำสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ คุณก็สามารถลดการใช้พลังงานได้แล้ว”

การเดินทางจากเจ้าของเดิมสู่เจ้าของใหม่
เมื่อสำรวจตู้เสื้อผ้าของ Loopers เราพบว่าสินค้าที่เป็นแบรนด์ของดีไซเนอร์ไทยดูจะได้รับความนิยมสูง นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังมีแอกเซสซอรี เช่น กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับอื่น และราคาที่ตั้งไว้ 300 บาทขึ้นไปนั้น หากเทียบกับมือหนึ่งก็ถูกกว่าหลายเท่า นี่ก็อาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้มีนักลูปหมุนเวียนกันเข้ามามากขึ้น

“เราอยากให้การตัดสินใจซื้อมือสองมันง่ายเหมือนซื้อมือหนึ่ง” เกดอธิบายก่อนวาดเส้นทางของเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่จะเปลี่ยนมือไปสู่เจ้าของใหม่ให้เราเห็น ที่บางครั้งเสื้อผ้าที่เคยส่งต่อไปแล้ว หมุนเวียนกลับมาเพื่อรอเจ้าของใหม่อีกทอดหนึ่งก็มี

core value ของเราคือ

อยากให้เสื้อผ้าทุกชิ้นได้ถูกใช้งานอย่างไม่มีสิ้นสุด

“วันหนึ่งไซส์เราอาจเปลี่ยนไป สไตล์หรือไลฟ์สไตล์เราไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เสื้อผ้ายังสภาพดีอยู่เลย ก็สามารถเข้ามาดูเงื่อนไขการฝากขาย ซึ่ง Seller Policy จะบอกชัดว่ารับหรือไม่รับเสื้อผ้าประเภทไหน เช่น เป็นเสื้อผ้าที่มีแบรนด์แต่ไม่จำเป็นต้องไฮเอนด์ ไม่รับชุดยูนิฟอร์ม ไม่รับเสื้อผ้าจากหนังสัตว์ทุกประเภท ไม่รับเสื้อผ้าพรีออร์เดอร์จีน เกาหลี ไม่รับเสื้อผ้าที่เป็น fast fashion เพราะเราต้องการคุณภาพ core value ของเราคือ อยากให้เสื้อผ้าทุกชิ้นได้ถูกใช้งานอย่างไม่มีสิ้นสุด”

แต่ละเดือน เสื้อผ้าชุดใหม่จะหมุนเวียนเข้ามาในแพลตฟอร์มนับหมื่นตัว จึงมีการออกแบบให้เกิด interactive ระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ เพื่อกระตุ้นให้สินค้าหมุนเวียนเร็วขึ้น และกำหนดระยะเวลาฝากขายไว้ที่ 1 ปี หรือลดราคาเมื่อสินค้าอยู่ในแพลตฟอร์มเกิน 6 เดือน

การวางโมเดลธุรกิจมาอย่างรอบคอบ ทำให้เกดมั่นใจตั้งแต่ออร์เดอร์แรกว่าธุรกิจนี้ไปต่อได้แน่ “เราหาบ้านใหม่ของเสื้อผ้าให้กับคนที่ไม่ได้รู้จักเรามาก่อนเลย พอไมล์สโตนแรกเป็นแบบนี้ แล้วเกิดการซื้อจากคนที่ไม่รู้จักขึ้นเรื่อย ๆ ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น เชื่อไหมว่าคนที่ซื้อเราในออร์เดอร์แรก ทุกวันนี้ยังเป็นเพื่อนกันอยู่เลย ถึงตอนนี้เกดก็ยังมีความสุขกับทุกออร์เดอร์ที่เกิดขึ้น”

ขยายลูปจากออนไลน์สู่อีเวนต์ ‘Use Loop Repeat’
ดูเหมือนเราจะลืมบอกไปว่าบทสนทนาของเราครั้งนี้เกิดขึ้นในคราวที่ Loopers จัดอีเวนต์  ‘Use Loop Repeat’ ที่เซ็นทรัล เอมบาสซี่ ซึ่งเป็นการจัดครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากปีที่แล้ว และการขยายเวลาจาก 5 วันเป็น 30 วัน ก็บอกได้ดีถึงผลตอบรับที่เกิดขึ้น

“เกดคิดมาตั้งแต่แรกแล้วว่าต้องทำคู่กัน การออกจากออนไลน์ทำให้มีคนเห็นเรา ซึ่งพอคนได้มาเห็นเสื้อผ้าจริงเขาก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันว่านี่คือเสื้อผ้ามือสองเหรอ สภาพใหม่มาก แล้วมันเปลี่ยนทัศนคติเขาว่าเสื้อผ้ามือสองไม่ใช่แค่เสื้อผ้าวินเทจเสมอไป มันเป็นไปได้มากกว่านั้น และการได้ฟังฟีดแบ็กจากลูกค้าจริง ๆ ก็ทำให้เรารู้ความต้องการของเขามากขึ้น”

นอกจากสินค้ามือสองของ Loopers ที่มาเปิดตู้ในงานนี้แล้ว เกดยังชวนเพื่อน ๆ ผู้ประกอบการที่มีแนวคิดเรื่องความยั่งยืนมาเปิดตลาดด้วยกัน แถมยังจัดวงเสวนาและเวิร์กช็อปต่าง ๆ เพื่อให้เรื่องความยั่งยืนและการใช้ชีวิตที่ดีต่อโลกเป็นเรื่องจับต้องได้ง่าย และทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

เราต้องการ 1% จาก 100 คน

มากกว่า 100% แค่ 1 คน

“เกดเชื่อว่าการสื่อสารเรื่องความยั่งยืนสามารถทำให้เป็นเรื่องสนุกและเข้าถึงทุกคน เราอยากให้เขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แค่คุณเปลี่ยนของที่คุณใช้มันก็ดีแล้ว บางคนไม่กล้าที่จะพูดถึงเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่าตัวเองกรีนไม่พอ ตัวเองยังใช้หลอดพลาสติกอยู่เลย ตัวเองยังไม่แยกขยะเลย แล้วฉันจะสามารถพูดเรื่องนี้ได้ยังไง แต่เกดมักจะพูดเสมอว่า เราไม่ได้ต้องการการเปลี่ยนแบบ 100% ขนาดนั้น แค่ 1% หรือ 10% แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนมันก็ดีแล้ว เกดว่าเราต้องการ 1% จาก 100 คน มากกว่า 100% แค่ 1 คนนะ”

สำหรับใครที่อยากจะเริ่มต้นใช้ชีวิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เกดแนะนำว่า “ลองเริ่มจากการใส่เสื้อผ้ามือสองดูก็ได้ เพราะหลาย ๆ ครั้งการตัดสินใจแรกของทุกคนคือ วันนี้ฉันจะใส่อะไรดี ถ้าเราเริ่มจากการเลือกด้วยความใส่ใจโลกหรือสิ่งรอบข้าง มันจะเป็นกำลังใจให้เราอยากทำสิ่งดี ๆ อื่น ๆ ต่อไปได้ตลอดทั้งวัน”

คำตอบของเกดชวนให้เราหันกลับมามองเสื้อผ้าในตู้ด้วยสายตาใหม่ และย้ำความเชื่อที่ว่า การเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ เกิดขึ้นได้จากชีวิตประจำวันของเรานี่เอง