“น้ำอบไม่ได้มีไว้แค่ใช้สรงน้ำพระกับเล่นสงกรานต์นะคะ ในอดีต ผู้หญิงไทยสมัยก่อนจะใช้น้ำอบประพรมตัวหลังอาบน้ำ เป็นน้ำหอมแบบไทยๆ ที่ใช้กันในชีวิตประจำวัน” ปุ้ม–นันท์พัทธ์ พูลสวัสดิ์ เจ้าของแบรนด์นวยนาดบอกเล่าถึงไอเดียเริ่มต้นที่ทำให้หญิงสาวคนนี้กลับไปค้นตำรับน้ำอบไทย นำเทคนิคแบบดั้งเดิมมาใช้ และใส่รายละเอียดแตกต่างลงไปเพื่อนำน้ำอบไทยกลับมาในบริบทที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ก็คือน้ำอบ 2 กลิ่นชื่อ ชื่นจิต และ ชื่นใจ และบอดี้วอชปราศจากสารเคมีในกลิ่นเข้าคู่กัน (ซึ่งเรา (ในฐานะคนอาบ) ชอบมาก!)

ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ปุ้มทดลองทำสบู่จากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่แต่งกลิ่นและสีให้เพื่อนสนิทที่ผิวแพ้ง่ายระดับหมอห้ามไม่ให้ใช้สบู่อาบน้ำ เพราะเชื่อว่าธรรมชาติน่าจะเป็นคำตอบมากกว่าการใช้ยา ซึ่งผลตอบรับจากเพื่อนก็เป็นที่น่าพอใจ หญิงสาวเริ่มสนุกกับการเรียนรู้เพิ่มและปรับหลากหลายสูตรจนใช้เองไม่หมด เลยคิดเปิดเพจ สร้างแบรนด์ และขายเล็กๆ ตามฟาร์มเมอร์สมาร์เก็ตและงานออกร้านต่างๆ ร่วมกับคนรัก ว่าน–ปกาสิต เนตรนคร จนนวยนาดก็เริ่มเป็นที่รู้จักในตลาดคนใส่ใจสุขภาพในฐานะสบู่และสกินแคร์จากธรรมชาติ ที่ไร้สารปรุงแต่ง และมีส่วนผสมน่ารักจากน้ำฝนและน้ำซับจากหมู่บ้านซับศรีจันทร์ โคราช วัตถุดิบที่ปุ้มบอกว่าได้มาจากฟ้าและดิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นก็เป็นอีกความรื่นรมย์ในชีวิต แต่ปุ้มเป็นคนที่ไม่ใช้น้ำหอมเพราะไม่ชอบกลิ่นแอลกอฮอล์ที่มาพร้อมกัน จึงนึกถึงน้ำอบของไทยขึ้นมา เมื่อเอ่ยปากว่าจะลองปรุงดู คุณแม่ของว่านซึ่งเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้ ก็หยิบตำราคลาสสิกสมัยเรียนและถ่ายทอดวิชาเครื่องหอมให้ปุ้มลองปรับให้เข้ากับความเป็นนวยนาด ปุ้มเลือกใช้ดอกไม้ไทยซึ่งใกล้เคียงกับตำรับเดิม และเพิ่มลาเวนเดอร์สกัดเข้าไปเพื่อความโมเดิร์นขึ้นอีกนิด กลายเป็นกลิ่นชื่นใจ ส่วนกลิ่นชื่นจิตที่อยากให้ความรู้สึกสุขุม นิ่ง ปรับสมดุล ปุ้มเลือกไม้หอมอย่างพวกเจอเรเนียมและซีดาร์วู้ด มาเข้ากระบวนการดั้งเดิมด้วยการอบเครื่องร่ำกำยาน และเพิ่มเติมวัตถุดิบเฉพาะอย่างน้ำฝนและน้ำซับจากซับศรีจันทร์ สมุนไพรว่านสาวหลง รวมทั้งไม่ใส่สารกันบูด เพราะวัตถุดิบสำคัญจากดินแดนอีสานอย่างชะลูด เป็นฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอยู่ในตัวอยู่แล้ว

แต่นอกจากน้ำอบสองกลิ่นสไตล์นวยนาดที่ปุ้มแนะนำวิธีใช้แบบสาวโบราณด้วยการประพรมหลังอาบน้ำ พัดให้แห้ง ลงครั้งที่สอง พัดให้แห้งอีกครั้ง ก่อนลงครั้งที่สามเพื่อให้กลิ่นติดทนนาน เลยรวมไปถึงใช้ผสมน้ำอาบเพื่อดึงคุณประโยชน์ของชะลูดซึ่งมีฤทธิ์ลดอาการผื่นแพ้ แต่สำหรับคนไม่มีเวลา ปุ้มก็ต่อยอดกลิ่นหอมมาใส่บอดี้วอชที่มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดชา น้ำมันรำข้าว รังไหม น้ำผึ้ง และน้ำฝนน้ำซับจากซับศรีจันทร์ เป็นอีกทางเลือกที่เป็นมิตรกับวิถีชีวิตเร็วจี๋มากยิ่งขึ้น

“ว่านเล่าให้ฟังว่า นวยนาด เป็นคำที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่านเป็นคนเอ้อระเหย ทำอะไรช้า แม่กับยายจะชอบบ่นว่า “ไม่ไปซะที มัวแต่นวยนาดอยู่นั่น” แต่ปุ้มรู้สึกว่าคำนี้น่ารักดี คือเราไปทำงานทุกวัน ออกจากบ้านไปโฟกัสสิ่งอื่นตั้งแต่เช้าจนเย็น การได้อยู่กับตัวเองได้นานที่สุดคือการได้กลับบ้านมาอาบน้ำ มันเป็นช่วงเวลาที่เรารู้ว่า ตรงไหนเราเป็นแผล ผิวเราเป็นยังไง เราเลยคิดว่าการอาบน้ำเป็นช่วงเวลาที่เราน่าจะนวยนาดกับตัวเองหน่อยแล้วกัน ได้กลิ่นหอมที่เป็นสุนทรียะระหว่างวันด้วย” หญิงสาวบอกเล่าพร้อมรอยยิ้ม

นอกเหนือไปจากน้ำอบกลิ่นหอม สกินแคร์จากธรรมชาติล้วนๆ จากนวยนาดยังประกอบไปด้วยสบู่น้ำมันมะพร้าวที่เหมาะกับคนผิวมัน สบู่น้ำมันรำข้าวสำหรับคนผิวแห้งและแพ้ง่าย เลยรวมไปถึงสบู่ที่บรรจุคุณค่าจากอีสานไม่ว่าจะเป็นสบู่คราม สบู่ใบย่านาง เคลนซิ่งและเซรั่มจากน้ำมันสกัดธรรมชาติล้วนๆ ถามปุ้มและว่านว่าอะไรคือเหตุผลที่นวยนาดหยิบเอาวัตถุดิบจากอีสานมาใช้ ในแง่หนึ่ง ทั้งคู่อยากสร้างคุณค่าแบบอีสานในรูปแบบที่ร่วมสมัย และในอีกแง่หนึ่ง นั่นไม่ใช่แค่กิมมิกทางการตลาด แต่คือวิถีชีวิตของทั้งคู่ ที่เริ่มต้นไปใช้ชีวิตในพื้นที่ที่ยังต้องรองน้ำฝน ใช้น้ำซับ ไปจนถึงการเดินทางพูดคุยกับพี่ป้าน้าอาชาวอีสานในพื้นที่ต่างๆ และได้รับการแบ่งปันคุณค่าเป็นสมุนไพรและของดีในพื้นที่มาใช้ในผลิตภัณฑ์ของนวยนาด

ทั้งคู่จึงบอกว่า นวยนาดไม่ใช่แค่แบรนด์สินค้า แต่คือผลลัพธ์ของการใช้ชีวิต

ฟังดูน่าชื่นใจจัง, ว่าไหม