
ถึงแม้ Expo 2025 ที่โอซาก้าปีนี้จะเดินหน้ามาได้ครึ่งทางแล้วแต่มหกรรมยิ่งใหญ่นี้ก็ยังคงอยู่ในกระแสความสนใจไม่แผ่ว สำหรับธีมงานครั้งล่าสุดนี้ก็คือ Designing Future Society for Our Lives การออกแบบสังคมแห่งอนาคตเพื่อมวลมนุษยชาติ แล้วหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ซ่อนอยู่หลากหลายจุดในงานนั้นก็คือการพูดถึงเรื่องวิถีความยั่งยืน (Sustainability) อันเป็นแก่แท้สำคัญแห่งวิถีอนาคตที่มนุษย์ควรตระหนักไปพร้อมกับการพัฒนานั่นเอง วันนี้เราเลยอยากชวนไปเดินเที่ยวงานเอกซ์โปฯ ปีนี้ด้วยกันเพื่อตามหาวิถียั่งยืนที่น่าสนใจ คำตอบแห่งโลกอนาคตเหล่านี้จะอยู่ตรงไหนบ้างไปลุยกันเลย
Japan Pavilion
ดูเหมือนว่าพาวิลเลียนเจ้าภาพจะนำเสนอวิสัยทัศน์ความยั่งยืนแห่งอนาคตได้เป็นรูปธรรมและน่าสนใจมากที่สุดเลยก็ว่าได้ พาวิลเลียนญี่ปุ่นคราวนี้มาในธีม “Between Lives” ออกแบบโดย nendo ที่เริ่มต้นถ่ายทอดแนวคิดตั้งแต่งานสถาปัตยกรรมด้วยการนำแผ่นไม้วัสดุหมุนเวียน CLT (Cross-Laminated Timber) หลากหลายขนาดมาเรียงซ้อนต่อกันเป็นวงกลมโดยเว้นระยะห่างระหว่างแผ่นเพื่อสื่อถึงช่องว่างแห่งการไหลเวียนของ “วัฏจักรแห่งชีวิต” นั่นเอง นอกจากนี้ตัวอาคารเองก็ยังออกแบบให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในตัวซึ่งจะนำขยะชีวภาพทั้งหมดภายในงาน Expo 2025 นี้มาผลิตพลังงานสะอาดเพื่อหล่อเลี้ยงพาวิลเลียนญี่ปุ่นทั้งหมดอีกด้วย ส่วนนิทรรศการภายในนำเสนอนวัตกรรม “พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic)” ผลิตขึ้นจากสาหร่ายและจุลินทรีย์สายพันธุ์พิเศษที่ญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องผลิตพลาสติกจากปิโตรเลียมที่ก่อผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย แถมยังย่อยสลายได้ง่าย โดยทางญี่ปุ่นมุ่งมั่นว่าจะพัฒนาขึ้นมาทดแทนพลาสติกในอนาคต
Official Site: www.2025-japan-pavilion.go.jp



Kingdom of Saudi Arabia Pavilion
พาวิลเลียนนี้น่าจะโดดเด่นเรื่องสถาปัตยกรรมที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าดีไซน์สวยเก๋แปลกตากว่าคนอื่น หรือผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบคือบริษัททรงอิทธิพลแห่งวงการสถาปัตยกรรมโลกอย่าง Foster + Partners ทว่าแท้จริงแล้วมันคือสถาปัตยกรรมที่อธิบายเรื่องราวของ Form & Function สะท้อนถึงวิถียิ่งยืนเรียบง่ายแต่ทรงพลังทั้งยังบ่งบอกรากแห่งวัฒนธรรมท้องถิ่นดั้งเดิมได้อย่างยอดเยี่ยม หมู่สถาปัตยกรรมอาคารแท่งทรงเหลี่ยมต่างระดับนี้สร้างขึ้นโดยได้แรงบันดาลใจมาจากหมู่บ้านโบราณกลางทะเลทรายในภูมิภาคนาจด์ (Najd) ที่เป็นบ้านดินทรงสี่เหลี่ยมตามแบภูมิปัญญาดั้งเดิมเรียงรายอยู่กลางผืนทะเลทราย ช่องว่างระหว่างอาคารนอกจากจะกลายเป็นเส้นทางเดินเชื่อมต่อกันไปมาแล้วก็ยังกลายเป็นช่องลมหมุนเวียนอากาศทำให้อากาศระบายและถ่ายเทได้ดีทั้งยังช่วยลดอุณหภูมิความร้อนได้ในตัว แนวคิดนี้ทำให้พาวิลเลียนของซาอุดิอารเบียมีลมเย็นพัดผ่านตลอดทั้งวัน เดินเล่นสบาย และสถาปัตยกรรมกลายเป็นอาคารประหยัดพลังงานที่มีประสิทธิภาพไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้หากมอบมุมบน (Top View) เราจะเป็นผังรวมของหมู่อาคารที่ดูคล้ายผืนดินแห้งแล้งแตกระแหงซึ่งสะท้อนลักษณะของภูมิภาคตะวันออกกลางได้อย่างมีเอกลักษณ์ จุดนี้เองยังถูกปรับนำมาใช้ในการออกแบบกระเบื้องตกแต่งผนังอาคารซึ่งทำให้สถาปัตยกรรมแห่งนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร
Official Site: www.ksaexpo2025.sa



Earth Mart
พาวิลเลียนนี้เป็น 1 ใน 8 อาคารนิทรรศการธีมพิเศษของหน่วยงานเอกชนญี่ปุ่นที่ร่วมสร้างสรรค์กับผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ หลากหลายแขนง ถึงแม้ว่าภายนอกจะดูธรรมดาและล้าสมัยทว่าเปลือกนี้กลับห่อหุ้มนวัตกรรมการก่อสร้างอันทันสมัยอยู่ภายในและแฝงปรัชญาวิถียั่งยืนไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว ผู้ออกแบบอาคารนี้ก็คือสถาปนิกญี่ปุ่นชื่อดัง Kengo Kuma ที่ต้องการนำเอาภูมิปัญญาญี่ปุ่นโบราณมาประยุกต์กับองค์ความรู้และเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ เริ่มจากผนังอาคารที่ก่อจากดินอัดผสมเศษไม้ขยะอุสาหกรรมเพื่ออัพไซเคิลให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ในส่วนของหลังคามุงจากแบบดั้งเดิมมองภายนอกอาจดูโบราณทว่าภายในสอดไส้เทคโนโลยีทันสมัยที่ทำให้หลังคามุงมีประสิทธิภาพเหมือนอย่างหลังคาชนิดอื่นในยุคปัจจุบัน อีกส่วนสำคัญก็คือการปูพื้นกระเบื้องที่เลือกใช้วัสดุพลาสติกรีไซเคิลผลิตจากขยะพลาสติกเพื่อเป็นการรีไซเคิลทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ สถาปัตยกรรมนี้ยังสะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ที่ผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืนลงตัวเสมอ ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับวิถียั่งยืนได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ภายในยังจัดนิทรรศการ Sustainable Food และ Food Distribution ที่พูดถึงวิถีบริโภคยั่งยืนยุคใหม่ด้วย
Official Site: www.expo2025earthmart.jp


BLUE OCEAN DOME
อีกหนึ่ง Signature Pavillion ของญี่ปุ่นที่โดดเด่นตั้งแต่ก่อนงานเปิดฉากเสียอีก สถาปัตยกรรมโดมขาวสามหลังเชื่อมต่อกันนี้ออกแบบโดย Shigeru Ban สถาปนิกชื่อดังชาวญี่ปุ่นโดยมุ่งนำเสนอแนวคิด Sustainable Architecture แห่งอนาคต โดมหลักหลังใหญ่ตรงกลางสร้างจากวัสดุ Carbon Fiber-Reinforced Plastic (CFRP) น้ำหนักเบาและแข็งแรง ตามด้วยโดมเล็กสองหลังขนาบข้างที่หลังหนึ่งสร้างจากโครงไม้ไผ่ลามิเนต (Laminate Bamboo) เสมือนไม้จริงและอีกหลังสร้างจากท่อกระดาษพิเศษเชื่อมต่อโครงสร้างแบบโมเลกุลเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากนั้นหุ้มหลังคาโดมด้วยโพลีคาร์บอเนต (Polycarbonate) แผ่นบางอีกที ถึงแม้วัสดุจะแตกต่างกันแต่มีวัตถุประสงค์เชื่อมโยงเดียวกันนั่นคือการเลือกใช้วัสดุน้ำหนักเบาและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาสานเป็นโครงสร้างหลังคาทรงโดมให้แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี เพื่อลดโครงสร้างเสารับน้ำหนักนั่นเอง นอกจากจะลดการใช้วัสดุลงได้แล้ว (ลดการใช้ทรัพยากรและลดขยะ) การเป็นอาคารไร้เสายังทำให้รื้อ ขนย้าย และก่อสร้างใหม่ได้สะดวกง่ายดาย ทำให้อาคารเกิดการใช้ซ้ำได้ ทั้งยังลดการปล่อยคาร์บอนในระบบขนส่งได้ด้วย นอกจากนี้วัสดุทั้งหมดยังสามารถนำไปรีไซเคิลได้ นับเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด ด้วยความที่เจ้าของโปรเจกต์นี้คือหน่วยงาน Zero Emissions Research and Initiatives (ZERI) ธีมเนื้อหาหลักจึงเป็น Marine Ecosystems and Sustainable มุ่งเน้นการสื่อสารเรื่องมหาสมุทรแห่งความยั่งยืนโดยเฉพาะเพื่อให้สอดรับกับพันธกิจ Marine Plastic Waste to Zero by 2025 ที่เกิดขึ้นจากการประชุม G20 2019 Osaka Summit ที่ผ่านมาด้วยนั่นเอง
Official Site: www.zeri.jp


Grand Ring
ปิดท้ายด้วยไฮไลท์ของงานอย่าง Grand Ring (大屋根リング) สถาปัตยกรรมวงแหวนไม้ทรงกระบอกที่เป็นแลนด์มาร์กประจำงานครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ตั้งใจนำเอาภูมิปัญญาก่อสร้างแบบดั้งเดิมของตนมาเป็นซอฟท์พาวเวอร์สร้างความประทับใจเท่านั้นแต่ยังต้องการสื่อสารถึงสถาปัตยกรรมวิถียั่งยืนไปพร้อมกันด้วย สถาปัตยกรรมนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้เกือบทั้งหมดโดยนำมาจากต้นสนในป่าท้องถิ่นเป็นหลักเพื่อลดปริมาณคาร์บอนในการขนส่งให้มากที่สุด จากนั้นนำมาก่อสร้างตามภูมิปัญญาดั้งเดิมที่เรียกว่า “นูกิ (貫 / Nuki)” ซึ่งเป็นการเข้าเดือยไม้แบบญี่ปุ่นโบราณโดยไม่ใช้ตะปูหรือโลหะยึดติดโครงสร้าง โครงสร้างไม้ขนาดยักษ์นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 675 เมตร สูง กว่า 20 เมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 61,035 ตารางเมตร ด้านบนเป็นทางเดินวงแหวนโดยรอบยาวกว่า 2 กม. ได้รับการบันทึกจาก Guinness World Records ว่าเป็นสถาปัตยกรรมไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนี้ ผู้ออกแบบก็คือ Sou Fujimoto สถาปนิกชาวญี่ปุ่นผู้โด่งดังระดับโลกที่สร้างสรรค์ผลงานภายใต้คอนเซ็ปต์ Unity in Diversity สื่อสารถึงเอกภาพแห่งความหลากหลายอันเป็นหัวใจของมหกรรมเอกซ์โปนั่นเอง การเลือกใช้วัสดุไม้จากธรรมชาตินอกจากจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการเลือกใช้วัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ แล้วก็ยังมีข้อดีตรงที่ย่อยสลายได้ง่ายและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย และตามวัตถุประสงค์ก่อสร้างที่วางแผนไว้ตั้งแต่แรกในเรื่องการเป็นสถาปัตยกรรมยั่งยืนนั้นภายหลังงานเอ็กซ์โปฯ ครั้งนี้ปิดฉากลงแลนด์มาร์กสุดอลังการนี้ก็จะถูกรื้อทิ้งทั้งหมด (อาจเหลือบางส่วนไว้ราว 200 เมตรเพื่อเป็นอนุสรณ์ตามคำเรียกร้อง) และนำไม้ไปใช้เป็นทรัพยากรหมุนเวียนสร้างประโยชน์ใหม่ในส่วนอื่นต่อไป … หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำอันยิ่งใหญ่แทน
Official Site: www.ksaexpo2025.sa


สำหรับ Expo 2025 ครั้งนี้จัดขึ้นบนเกาะ Yumeshima (夢洲) ที่แปลว่า “เกาะแห่งความฝัน” อันเป็นแผ่นดินเทียมจากการถมขยะที่ผุดขึ้นกลางทะเลนั่นเอง ภายในงานยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมาย และมีไอเดียวิถียั่งยืนซ่อนไว้อยู่อีกเพียบ ใครอยากแวะไปเที่ยวบ้างต้องรีบแล้วล่ะ เพราะงานนี้จะจัดถึงวันที่ 13 ตุลาคม 2568 นี้เท่านั้น … สนใจก็ลุยเลย!
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.expo2025.or.jp
ที่มาข้อมูล:
– www.2025-japan-pavilion.go.jp
– www.ksaexpo2025.sa
– www.expo2025earthmart.jp
– www.zeri.jp
– www.artofth.com
– www.nippon.com
– www.dezeen.com
– www.thestandard.co
– www.revisit-jp.com
– www.archdaily.com
– www.nendo.jp
– www.fosterandpartners.com
– www.arquitecturaviva.com
– www.kkaa.co.jp
– www.engoo.co.th
– www.japanhouselondon.uk



