เมื่อได้รับเชิญให้ไปเป็นแขกในกิจกรรมชิมข้าวอีสาน คำถามแรกก็ผุดขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติคือ ทำไมต้องชิมข้าว ? ในเมื่อเราก็กินข้าวอยู่ทุกวันตั้งแต่เด็กจนโต และข้าวที่เรากิน ๆ กันมานั้นก็มีรสชาติเหมือนกันหมด ข้าวหอมมะลิ ข้าวเสาไห้ ข้าวเหนียว ข้าวกล้อง ยังมีอะไรในข้าวให้เราต้องชิมเพื่อทำความรู้จักอีกหรือ ?
เพราะคุ้นเคยกับข้าวไม่กี่สายพันธุ์ที่ถูกทำให้ดูแตกต่างกันด้วยการติดตราสินค้านับร้อยนับพันยี่ห้อ เมื่อได้มาเห็นข้าวสาร ข้าวเหนียวทั้ง 20 สายพันธ์ตั้งหม้อรอหุงสุกอยู่เบื้องหน้า ไม่เพียงแต่กระตุ้นความอยากอาหารเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น อยากรู้จักและลิ้มชิมรสให้หมดเสียทุกอย่าง
กระนั้นการเตรียมตัวไปชิมข้าวแบบผู้ไม่รู้ เพื่อใช้โอกาสนี้เปิดรับความรู้และคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด
ชิมข้าว กับงานดีไซน์ ถนนคนละสายแต่ก็ร่วมทางกันไปได้ไกล
นพ ธรรมวาณิช ผู้ชวนมาชิมและผู้จัดกิจกรรมในวันนี้ ประชาสัมพันธ์สั้น ๆ ว่า จะมีข้าวจากภาคอีสาน 20 ชนิด แบ่งเป็นข้าวเหนียว 10 ชนิด ข้าวเจ้า 10 ชนิด คำถามในหัวข้อที่สองก็ตามมาประสาคนไม่สันทัดเรื่องความหลากหลายของข้าว นั่นคือยังมีข้าวอีกตั้ง 20 ชนิดที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยกินมาก่อนจริง ๆ หรือ ?
“อาชีพจริง ๆ ของผมคืองานสายดีไซน์ ทำแอนิเมชันเป็นหลัก ผมเป็น 1 ใน 3 ผู้กำกับแอนิเมชันเรื่องพระมหาชนก ด้วยตัวบริษัทของผมเอง เราเรียกตัวเองว่าเป็น Multi disciplinary design firms พอดีมีจังหวะหนึ่งที่เพื่อนได้ไปทำงานด้านวิดีโอและการสื่อสารให้กับโครงการชื่อ Thailand Gastronomy Tourism ซึ่งเริ่มต้นที่จังหวัดสกลนคร แล้วเพื่อนก็ชวนผมมาร่วมงานนี้ เพราะเห็นว่าชอบอาหาร ชอบทำกับข้าว คั่วกาแฟ ผมเองก็ชอบทำคอนเทนต์แบบนี้อยู่เป็นทุนเดิมเลยเข้าร่วมในโปรเจคนี้
ภาพการชิมข้าวแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมเคยคิดไว้นานแล้ว ว่าเราควรได้ชิมข้าวแบบนี้ เป็นแค่หนึ่งในไอเดียที่เคยคิดไว้เล่น ๆ แต่ก็หยิบเอามาลงมือทำได้จริง
“พอทำไปได้สักพัก ก็เกิดมีโจทย์หนึ่งขึ้นมา ว่าเราจะทำงานนี้ให้มีผลกระทบกับคนเมืองสักนิดหนึ่ง อยากให้เป็นไวรัลออกไป แทนที่จะบอกว่าที่สกลนครมีร้านอาหารนี้ มีของดี มีวัตถุดิบดี ๆ อะไรบ้าง จนผมได้ไปเจอกลุ่มผู้ปลูกข้าวหอมดอกฮังตอนลงพื้นที่สกลนคร ตอนนั้นก็แค่ซื้อข้าวกลับมากิน เพราะชอบทำกับข้าว พอได้กินข้าวหอมดอกฮัง และรู้มาว่าเกษตรกรกลุ่มนี้มีข้าวเยอะ ก็เลยคุยกับทีมงานว่าอย่างนั้นเราทำอีเวนต์ชิมข้าวกันไหม ? ภาพการชิมข้าวแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมเคยคิดไว้นานแล้ว ว่าเราควรได้ชิมข้าวแบบนี้ เป็นแค่หนึ่งในไอเดียที่เคยคิดไว้เล่น ๆ แต่ก็หยิบเอามาลงมือทำได้จริง
อีเวนต์ชิมข้าวเลยเป็นกระแสขึ้นมา และได้ค้นพบแล้วว่าข้าวท้องถิ่นเหล่านี้ล้วนมีมูลค่า
“ตอนขายคอนเซ็ปต์นี้ให้กับที่จังหวัดสกลนคร ก็ยังมีคำถามกลับมาว่า ‘ชิมข้าวเหรอ ? ใครจะมาชิมเหรอครับ ?’ แต่เพราะได้ทีมเชฟที่ทำร้านอาหารแบบ fine dining ร่วมทำงานนี้ด้วยกัน ก็เลยรวมกันเป็นเครือข่าย และเชิญทีมข้าวหอมดอกฮางจากสกลนครมาร่วมจัดงานครั้งแรกที่กรุงเทพ จากตอนแรกที่ตั้งไว้ว่ามีคนมาร่วมงานประมาณ 20 คนก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่วันนั้นสรุปมีคนนมาร่วมงานชิมข้าว 80 คน ก็มีอินฟลูเอนเซอร์หลาย ๆ คนที่มางานได้ช่วยประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ อีเวนต์ชิมข้าวเลยเป็นกระแสขึ้นมา และได้ค้นพบแล้วว่าข้าวท้องถิ่นเหล่านี้ล้วนมีมูลค่า หลังจากนั้นก็ได้ร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จังหวัดขอนแก่น เลยเกิดเป็นโครงการต่อเนื่องไปที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพราะมีไอเดียเดียวกัน ไปต่อที่งาน Wonderfruit พัทยา
“แต่เมื่อมาย้อนไปถึงแรงบันดาลใจหรือจุดเริ่มต้นจริง ๆ แล้ว ก็นึกถึงตอนเด็ก ภาพตอนที่พ่อหิ้วถุงข้าวสารมาแล้วบอกว่าเอาไปหุงกินสินี่เป็นข้าวหอมมะลิใหม่ แล้ววันนั้นผมก็นั่งกินข้าวเปล่า ๆ เพราะมันอร่อยมาก ไม่กินกับข้าวเลย เป็นภาพจำสมัยเด็ก ๆ ว่าข้าวหอมมะลิอร่อยได้ขนาดนั้นเลยนะ และหลังจากนั้นเราก็ไม่เคยเจอข้าวที่อร่อยแบบนั้นอีกเลย”
เสียงตอบรับ กับประสบการณ์จากผู้ร่วมวงชิมข้าวอีสาน
เพราะข้าวก็คือข้าว อาหารหลักที่ไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ กินน้อยก็ยังหิว กินมากก็อิ่มพุงกาง และนอกจากข้าวที่กินเป็นประจำแล้ว ยังมีเหตุผลอะไรอื่นอีกไหมที่ต้องทำความรู้จักข้าวใหม่ ๆ ที่สุดท้ายแล้วก็กินอิ่มท้องได้เหมือน ๆ กัน ? นักออกแบบผู้คิดค้นโมเดลชิมข้าวนี้ตอบคำถามดังกล่าวกับเราว่า
ถ้านำข้าวพันธุ์เดียวกับที่เคยกินมาให้ชิม แต่เป็นการกินแบบประณีตขึ้น เคี้ยวให้ช้าลง ดมกลิ่น โฟกัสที่รสสัมผัสและความนุ่มหนึบของข้าวแต่ละเมล็ด คุณจะรู้สึกว่าข้าวที่เคยกินประจำจะอร่อยขึ้น
“ผู้ที่มีโอกาสมาสัมผัสประสบการณ์การชิมข้าวหลาย ๆ คนรู้สึกตื่นเต้น เพราะคนทั่วไปที่ไม่ได้สนใจเรื่องทำกับข้าวก็จะคิดว่าข้าวก็คือข้าว มันไม่น่าจะต่างกัน แต่ก็มีการท้าทายเล็ก ๆ ว่าถ้านำข้าวพันธุ์เดียวกับที่เคยกินมาให้ชิม แต่เป็นการกินแบบประณีตขึ้น เคี้ยวให้ช้าลง ดมกลิ่น โฟกัสที่รสสัมผัสและความนุ่มหนึบของข้าวแต่ละเมล็ด คุณจะรู้สึกว่าข้าวที่เคยกินประจำจะอร่อยขึ้น แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
“แล้วต่อจากนั้นทุกคนก็สนุกสนานกับการชิมข้าว และตอนจบสิ่งที่ทุกคนได้รับกลับไปคือการตั้งคำถามกับตัวเองว่า แล้วฉันอยากจะกินข้าวพันธุ์ไหนกับอะไรดี ? ซึ่งนี่จะตรงกับภาพในฝันของผมเลย เพราะอยากเห็นคนไทยเปิดสำรับกับข้าวมาปุ๊บ มีข้าวให้เลือกอยู่ 3-4 อย่าง แล้วเลือกว่าวันนี้ฉันจะกินข้าวอะไรดี ถ้าเป็นแบบนี้ได้เมื่อไหร่ variety ของข้าวไทยจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
“วัตถุประสงค์แรกเริ่มคือ เราอยากทำให้คนทั่วไปได้รู้ว่าข้าวแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน และพอเรารู้ว่าไม่เหมือนกัน เราก็จะรู้จักเลือก และพอเลือกกินข้าวที่ไม่เหมือนกัน ขั้นตอนต่อจากนั้นทุกอย่างมันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติ
จากจุดนั้นเราก็เริ่มทำงานกันอย่างจริงจัง เริ่มเก็บข้อมูล ทำ data base ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เริ่มชวนคนมาชิมมากขึ้น ปรับปรุงโปรไฟล์ของโครงการ เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้มันถูกต้อง และเป็นไปได้ เรามีข้าวให้ชิมทั้งหมด 40 พันธุ์ หมุนเวียนกันให้ชิมในแต่ละรอบ ทั้งแบบสาธารณะและแบบส่วนบุคคล
“จริง ๆ แล้วเกษตรกรที่มีการรวมกลุ่มกันเป็นวิสาหกิจชุมชน ก็มีการรวมตัวกันชิมข้าวอยู่แล้ว แต่เป็นการชิมเพื่อดูว่าข้าวนี้อร่อยกว่าข้าวนี้ ปีนี้ข้าวพันธุ์นี้ดีกว่าปีที่แล้ว และเราก็อยากให้โครงการของเราและเกษตรกรไปด้วยกันได้ เลยอาจจะมีการไปชิมข้าวร่วมกับเกษตรกรผู้ปลูกด้วยในอนาคต เพราะกิจกรรมนี้เริ่มต้นที่จังหวัดสกลนคร และทีมงานที่ร่วมกันทำงานตั้งแต่ครั้งแรก ๆ มาจากขอนแก่น เราเลยโฟกัสไปที่ข้าวอีสาน แต่จริง ๆ แล้วข้าวของแต่ละท้องที่ของไทยก็มีเอกลักษณ์และน่าสนใจแตกต่างกันไป”
ไม่มีใครรู้จักข้าวดีกว่าชาวนา
ท้องทุ่งนาคือบ้านที่ชาวนากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู เฝ้าทนุถนอมผ่านแดดผ่านฝนกันมาได้แต่ละฤดูกว่าจะถึงวันเก็บเกี่ยว เพราะเป็นผู้ปลูกและผู้ที่รู้จักนาทุกผืน ข้าวทุกรวงของตัวเองดีที่สุด เรื่องราวจากปากของผู้ปลูกจึงเป็นเรื่องเล่าที่ฟังแล้วสนุกสนานและเป็นเรื่องจริงที่สุด
ผมชอบเวลาที่ชาวนาระบุได้ว่าข้าวสายพันธุ์นี้กับสายพันธุ์นี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
“ถึงจะยังไม่ได้ไปตระเวนชิมข้าวครบทุกจังหวัดในอีสาน แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือคาแรคเตอร์ของข้าวแต่ละที่เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มมาก ๆ อย่างที่สกลนครซึ่งปลูกข้าวพันธุ์ท้องถิ่นเป็นหลัก เขาจะมีนาขนาดเล็ก ๆ ปลูกหลายสายพันธุ์รวม ๆ กัน แต่สามารถระบุได้ ผมชอบเวลาที่ชาวนาระบุได้ว่าข้าวสายพันธุ์นี้กับสายพันธุ์นี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
“แต่ถ้าลงไปตามพื้นที่ที่ปลูกข้าวหลัก ๆ ก็จะเป็นนาผืนใหญ่ ปลูกข้าวพันธุ์คล้าย ๆ กัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราค้นพบคือ ทุกคนที่ปลูกเข้าภูมิใจในข้าวของเขา มีเกษตรกรคนหนึ่งจากกาฬสินธุ์มาโฆษณาขายข้าว พูดอย่างภูมิใจว่า ‘ข้าวของผมอร่อย’ และมันก็อร่อยจริง ๆ เหมือนที่พี่เขาบอก ที่ร้อยเอ็ดก็เช่นกัน ชาวนาเขาภูมิใจมากว่าข้าวของเขาอร่อย เป็นข้าวทุ่งกุลาของแท้ ผมรู้สึกดีมากที่เห็นทุก ๆ คนรักในผลิตภัณฑ์ของตัวเอง”
รวมกันปลูก รวมกันโต ข้าวท้องถิ่นอินทรีย์รสดี ในราคาที่ชาวนายิ้มได้
ข้าวพันธุ์ท้องถิ่นส่วนใหญ่ที่เราจะได้ชิมกันในวันนี้ คือข้าวอินทรีย์ที่คุณนพและทีมงานคัดเลือกแบบจำเพาะเจาะจงว่าต้องมาจากผู้ปลูกหรือกลุ่มเกษตรกรตัวจริง เพราะข้าวทุกเมล็ดมีเรื่องราวของตัวเองซ่อนอยู่ และเสน่ห์ของเรื่องราวเรื่องเล่าก็ไม่มีใครเหมือนใคร ผืนนาของใครก็บันทึกเรื่องราวของเจ้าของไว้ในตัวเอง
คนที่ปลูกข้าวท้องถิ่นแบบจริงจังขนาดนี้ ส่วนมากก็เลือกที่จะปลูกแบบอินทรีย์กันทั้งหมด
“การคัดเลือกข้าวมาให้ชิมอย่างนั้น ทีมงานทำการบ้านกันหนักมาก เพราะเราอยากรู้ถึงวิธีปลูกจริง ๆ เราจะได้รู้ว่าข้าวที่เรากำลังกินอยู่นี่มาจากที่ไหน หรือข้าวที่เป็น GI (Geographical Indication) เราก็จะสามารถระบุท้องถิ่นที่ปลูกข้าวพันธุ์นั้น ๆ ได้ถูกต้องว่าปลูกที่อำเภอนี้ จังหวัดนี้แน่นอน และคนที่ปลูกข้าวท้องถิ่นแบบจริงจังขนาดนี้ ส่วนมากก็เลือกที่จะปลูกแบบอินทรีย์กันทั้งหมด ซึ่งบางเจ้าก็มีใบรับรองมาแสดง ส่วนที่ยังไม่มีก็พยายามลดความเป็นเคมีลงให้ได้มากที่สุด แล้วชาวนาเหล่านี้เขาก็สารมารถขายข้าวได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งโรงสี เขามีแบรนด์ของกลุ่มเขาเอง และได้ราคาดีกว่า เป็นแนวโน้มว่าชาวนาเริ่มให้ความสำคัญกับคุณภาพของข้าว ช่วยกันคุมคุณภาพข้าวทุกแปลงในกลุ่มให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และเรามองเห็นได้ว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
“หลาย ๆ กลุ่มวิสาหกิจเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อก่อนตอนที่ยังต่างคนต่างปลูก ต่างคนต่างขาย ชาวนาแทบจะอยู่ไม่ไหว เพราะขายถูกมากแค่กิโลกรัมละ 20-30 บาท แต่พอมารวมกลุ่มกันช่วยกันพัฒนาข้าว ราคาขายก็กระโดดไปถึง 90 บาท สิ่งที่กลุ่มเกษตรกรทำมากกว่าการปลูกและขายคือการทำการตลาด คุณป้าคนหนึ่งได้เรียนรู้วิธีการนำเสนอข้าวของตัวเองอย่างมั่นใจ เขาสามารถมายืนเล่าให้คน 80 คนฟังได้อย่างสนุกสนาน ทั้งที่เมื่อก่อนป้าทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเลย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมีกลุ่มที่แข็งแรงขึ้น”
ความสำคัญของข้าวพันธุ์พื้นบ้านอีสาน จะมีความสำคัญอย่างไรกับข้าวไทยในอนาคต
ข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวทางอีสานมีความหลากหลาย และในความหลากหลายนั้นก็จะมีพันธุ์ที่รอดกับไม่รอด พันธุ์ที่รอดคือพันธุ์ที่กินแล้วอร่อยคนถึงจะเลือกปลูก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ชาวนาสามารถเลือกปลูกข้าวพันธุ์ที่เหมาะกับวิถีชีวิต เหมาะกับพื้นที่ของตนเองแล้วข้าวนั้นยังมีมูลค่า เพราะข้าวแต่ละพันธุ์มีความต้องการน้ำ ดิน อากาศไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องพยายามไปปลูกข้าวพันธุ์ดัง ๆ ให้ได้ เพราะข้าวพันธุ์ที่เขาคุ้นเคยถ้าปลูกและดูแลให้ดีก็จะเป็นข้าวที่มีราคาสูงขึ้นได้ และการออกไปยืนเล่าเรื่องของเราเอง จะสนุกมากกว่าการพยายามไปเล่าเรื่องของคนอื่น
“ผมเคยถามชาวนาคนหนึ่งว่าพี่เก็บพันธุ์ข้าวไว้อย่างไร ? ก็นึกภาพไปตามประสาคนเมืองว่าเขาคงเก็บเมล็ดไว้ในกระบอกอย่างมิดชิด เพื่อเอาไว้ต่อพันธุ์ในแปลงปลูกครั้งหน้า แต่คำตอบคือพี่เขาเก็บไว้ทั้งรวง แถมยังถามผมต่อว่าอยากจะได้ไหม หรือใครอยากได้บ้าง แล้ววิธีแจกพันธุ์ข้าวก็ง่ายมาก คือเจ้าของจะเด็ดข้าวไปให้หนึ่งรวง บอกให้ผู้รับไปทำเอาเอง นั่นคือเอาไปเพาะไปขยายพันธุ์ด้วยตัวเอง สิ่งนี้ก็คือวิถีของชาวนาในสมัยก่อน มีการให้การรับและแลกเปลี่ยนพันธุ์ข้าวกัน โดยไม่ต้องไปซื้อพันธุ์ข้าวมาปลูก เพราะเขาต่างเป็นเจ้าของพันธุ์ข้าวของตัวเอง และเขาก็สามารถที่จะสร้างชื่อ สร้างแบรนด์ดิ้งข้าวของตัวเองได้
ก่อนที่การรวมกลุ่มชาวนาจะแข็งแรงได้ก็ต้องสร้างอัตลักษณ์ที่แข็งแรงให้ข้าวของเขาก่อน
“ระบบการผูกขาดที่ดินและพันธุ์ข้าวโดยนายทุนยังมีอยู่ทุกที่ เพียงแต่ว่าจริง ๆ แล้วเขายังสามารถเลือกที่จะออกมาได้ ถ้าระบบการวมกลุ่มแข็งแรง และก่อนที่การรวมกลุ่มชาวนาจะแข็งแรงได้ก็ต้องสร้างอัตลักษณ์ที่แข็งแรงให้ข้าวของเขาก่อน การที่หลายคนยังอยู่ในระบบเดิม ๆ ซื้อพันธุ์ข้าว ซื้อปุ๋ยและสารเคมี เมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก็มีคนมารับซื้อ มันก็ถือว่าเป็นความสะดวกสบาย แต่ก็ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงและราคาขายที่ถูกกำหนดโดยนายทุน”
โอกาสที่ข้าวท้องถิ่นอีสานจะเติบโต คือโอกาสทองของชาวนาไทย
เพราะเสน่ห์ข้าวอีสานคือความไม่เหมือนกัน เอกลักษณ์ของของแต่ละพันธุ์ก็แตกต่างกัน แต่ในความแตกต่างหลากหลายนั้นมีโอกาสมากมายรออยู่ เพราะเชื่อมั่นว่าข้าวดีต้องไปเติบโตได้ดีในท้องตลาด ขอเพียงโอกาสให้คนไทยได้เปิดใจมาลองชิม
“จากที่เราชิมข้าวมาเป็นปีที่ 2 ข้าวพันธุ์เดิมที่ปลูกแต่ละปีก็จะไม่เหมือนกัน แต่ข้าวบางพันธุ์ เช่นโสมมาลี ปีที่แล้วเราชิมแล้วได้กลิ่นเหมือนข้าวโพด มีความหนึบ และกรุบกรอบอย่างไร ปีนี้เราชิมอีกก็ยังเป็นเหมือนเดิม เพราะนี่คือเอกลักษณ์ เราสนุกกับการได้ค้นหาอะไรใหม่ ๆ ที่แตกต่างไปเรื่อย ๆ ซึ่งเราก็มีการวบรวมเป็นฐานข้อมูลเก็บไว้พัฒนา
ถ้าเราช่วยกันผลักดันให้ข้าวท้องถิ่นเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โอกาสอันมหาศาลจะเกิดขึ้นกับชาวนาและข้าวไทย
“ผมจินตนาการไปถึงขั้นที่ว่า ถ้าเราช่วยกันผลักดันให้ข้าวท้องถิ่นเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ โอกาสอันมหาศาลจะเกิดขึ้นกับชาวนาและข้าวไทย ในตอนนี้มีตลาดหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือตลาดข้าวเพื่อสุขภาพ แต่เรากำลังมองถึงตลาดข้าวอีกกลุ่มหนึ่งที่มุ่งไปที่เรื่องของรสชาติ ซึ่งตลาดนี้ยังไม่มีในประเทศไทย”
“ในระยะหลัง ๆ นี้คนไทยพิถีพิถันกับการกินมากขึ้นเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างอย่างเช่นการเลือกกินกาแฟแบบต่าง ๆ ถ้าวันหนึ่งเราเลือกกินข้าวที่หลากหลายได้เหมือนกาแฟ มูลค่าของข้าวก็จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ชาวนาก็จะได้รับผลประโยชน์ต่อ ๆ กันไป”
จาก “กับข้าวอร่อยคือหัวใจของมื้ออาหาร” สู่ “ข้าวดีกินกับอะไรก็อร่อย”
เมื่อบทสนทนาเรื่องข้าวอีสานจบลง พร้อมกับกลิ่นข้าวหุงสุกใหม่ ๆ และกับข้าวใต้เจ้าดังแย่งกันส่งความหอมอบอวลมาเรียกน้ำย่อย ก็ถึงเวลาสำคัญคือการชิมข้าวทุกหม้อแบบ 20 หม้อ 20 สายพันธุ์ ชิมกันแต่ละคำอย่างพินิจพิจารณาถึงกลิ่น ถึงรสชาติ ความร่วนความเหนียว และความพิเศษของเนื้อสัมผัสของข้าวแต่ละเมล็ด
ก่อนจะปิดท้ายด้วยการล้อมวง Rice paring สิงห์ข้าวอีสาน ปะทะ อาหารปักษ์ใต้พันธุ์ดุ ได้ลองจับคู่ข้าวก่ำน้อยสกลกับแกงส้มมะละกอรสจัด ข้าวหอมมะลินิลสุรินทร์ราดน้ำพริกกะปิเคี้ยวหนึบหนับรสหวานของข้าวตัดกับรสเปรี้ยวเค็มเผ็ดของน้ำพริกอย่างพอเหมาะพอดี ข้าวกล้องหอมมะลิกาฬสินธุ์คลุกกับแกงไตปลา และข้าวมะลิดำกับคั่วกลิ้งรสเข้มเผ็ดดุดันก็ให้อารมณ์ความเข้มข้นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันกับเพื่อนร่วมชิมอย่างออกรสชาติ เป็นประสบการณ์การกินข้าวรูปแบบใหม่ที่เต็มใจอยากชวนมาชิม
ในฐานะที่เป็นคนไทยซึ่งกินข้าวเป็นอาหารหลัก เราน่าจะมาทำความรู้จักข้าวกันให้มากขึ้น
“อาหารไทยอร่อย ๆ กินกับข้าวไทยหลาย ๆ พันธุ์ก็อร่อยไม่แพ้กัน เพราะข้าวแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ในฐานะที่เป็นคนไทยซึ่งกินข้าวเป็นอาหารหลัก เราน่าจะมาทำความรู้จักข้าวกันให้มากขึ้น มาลองเลือกสรร และเอาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่เราเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่ถูกเลือกให้ต้องกินข้าวแบบเดิม ๆ เพื่อเพิ่มเติมสีสันให้กับการกิน เพิ่มความสนุกสนานที่ได้มีโอกาสเลือกในฐานะผู้บริโภคให้มากขึ้น และขอฝากกิจกรรมการชิมข้าวครั้งต่อไป “Isan Rice Flavor” ที่งาน Bangkok Design Week ในวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ ที่ห้องออดิทอเรี่ยม TCDC กรุงเทพ หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : Thailand gastronomy tourism นะครับ
มื้ออื่นไปชิมข้าวนำกันเด้อ!