นับจากนี้ เราจะนำคุณสู่บทสัมภาษณ์ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายอโรม่าหอม ๆ ของ essential oil ธรรมชาติ โดยมีคุณเอ๋ แสงปทีป แก้วสาคร นักสุคนธบำบัดเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เทียนหอมธรรมชาติ “Saengprateep” เป็นผู้ถ่ายทอดความลับที่เธอได้ค้นพบ ว่า essential oil ที่สกัดจากธรรมชาตินั้น มีพลังเร้นลับบางอย่างที่สามารถพาคุณกลับสู่ความทรงจำดี ๆ ไขความลับสุขภาพและเผยให้เห็นคุณค่าแห่งตนได้ โปรดวางใจเป็นกลางและเปิดประสาทสัมผัสของคุณให้พร้อม เพื่อก้าวเข้าสู่โลกแห่งกลิ่นหอม ที่กำลังจะฟุ้งกำจายอยู่ในเรื่องราวนับจากนี้
จริงอยู่ที่คนหนึ่งคนสามารถทำอะไรได้หลายอย่างพร้อมกัน แต่จะมีอยู่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นคำตอบว่า นี้แหละ คือสิ่งที่ทำแล้วก่อเกิดความสุขใจ และเป็นที่ทางของเราโดยแท้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของ คุณเอ๋ แสงปทีป แก้วสาคร ผู้ที่เป็นทั้ง food stylist ให้กับโรงเรียนสอนทำอาหารระดับโลก เป็นอดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารอาหารชั้นนำระดับประเทศ ชื่นชอบการทำงานออกแบบหลายแขนง ทั้งด้านการออกแบบอาหาร ออกแบบกราฟิก และอีกมากมายหลายบทบาทที่เธอนั้นทำมันได้ดี ตามแบบฉบับของบุคคลผู้มีความสามารถ แต่ตัวตนที่ทำให้เธอเกิดความสุขใจที่สุด ก็คือ การได้เป็น “นักสุคนธบำบัด” ผู้ใช้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยแท้จากธรรมชาติ (essential oil) ช่วยเหลือผู้คนให้ดำดิ่งสู่ภวังค์จิตเบื้องลึก เพื่อค้นหาปมที่มัดแน่นในใจแล้วปลดเปลื้องมันออก ก่อนนำทางบุคคลผู้นั้นให้ก้าวไปพบกับคำตอบและทางออกในชีวิต บนความรู้สึกตระหนักถึงคุณค่าแห่งตน ซึ่งกว่าจะมายืนในจุดนี้ได้ เธอเองก็ต้องเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนเช่นเดียวกัน และต่อไปนี้คือเรื่องราวของเธอ
เมื่อ “แสงประทีป” นำทาง “แสงปทีป”
เทียนหอมในห้องของคุณเอ๋ถูกจุดขึ้น กระจายแสงสีเหลืองนวลตาทั่วห้อง ข้างๆ กัน มีเตาจุดน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติกลิ่นลาเวนเดอร์จากฝรั่งเศสและผิวส้ม เพื่อสร้างบรรยากาศโดยรอบให้รู้สึกผ่อนคลาย แล้วเธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวของเธอผ่านน้ำเสียงโปร่งเบาทว่าคมชัด ในจังหวะจะโคนเนิบช้าให้เราฟังว่า
“หลังจากที่นิตยสารที่พี่ทำอยู่ปิดตัวลง ประมาณ ปี 2560 มันเหมือนเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตอะไรหลายอย่าง ตอนนั้นพี่ได้ทำงานเป็น creative director ให้กับแบรนด์สินค้าออร์แกนิกแบรนด์หนึ่ง ระหว่างนั้นเราก็มาคิดทบทวนว่า อยากออกตามหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริง ๆ ว่ามันคืออะไร แล้วก็ได้พบว่าอย่างหนึ่งที่อยากทำคือ การทำเทียนหอมที่ใช้ชื่อตัวเอง
เพราะพี่ชื่อ ‘แสงปทีป’ เรารู้สึกว่า ชื่อเราเองมันมีความหมายบางอย่างที่น่าจะช่วยให้คนที่ได้พบเจอสิ่งนี้รู้สึกดี รู้สึกมีกำลังใจ รู้สึกได้ไอเดียหรือจุดประกายอะไรบางอย่างให้กับผู้คน
จึงเกิดแบรนด์เทียนหอมชื่อ ‘Saengprateep’ ขึ้น
“ถ้าถามว่าตอนเริ่มต้นเราได้ไปเรียนอะไรที่ไหนหรือเปล่า ตอบว่า ไม่เลย คือศึกษาเองทั้งหมด อ่านหนังสือ ดูยูทูป แล้วก็ซื้อหนังสือพวก aromatherapy, essential oil มาอ่าน และซื้อของมาทดลองเองจากความรู้ที่เราพอหามาได้ ณ เวลานั้น ตอนนั้นผลิตภัณฑ์ของพี่เริ่มจากการทำเทียนหอม ก็มีทั้งเรื่องของวัตถุดิบที่เป็นไขเทียน ซึ่งเราเลือกใช้ soy wax เป็นหลัก ไส้เทียนก็ต้องมาจากเส้นใยฝ้ายธรรมชาติ และสิ่งสำคัญคือ กลิ่นหอมที่เราใช้กับเทียนของเราต้องเป็นกลิ่นจากessential oil ธรรมชาติ ซึ่งตอนนั้นพี่ทดลองผสมเองจากความรู้สึกของตัวเองล้วน ๆ ทดลองแล้วก็ได้ทำออกวางขายครั้งแรก วันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นงาน ‘Earth Day’ ที่มูลนิธิโรงเรียนแห่งชีวิต
“ในงานวันนั้น หลังจากที่เราจุดเทียน แล้วคนที่มาร่วมในงานเขาได้สัมผัสกลิ่นหอมของเทียนเรา เขาก็เดินมาบอกพี่ว่า ‘ดีมากเลย กลิ่นดีมาก’ นู่นนี่นั่น แล้วก็มีบางคนพูดกับพี่ว่า ‘เนี่ย กลิ่นธรรมชาติมากเลย’ พี่ก็รู้สึกว่า เออ ดีจัง มันเป็นคำชมที่ดี แต่ขณะเดียวกันก็มีคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัว ว่า ‘แล้วมันช่วยเขาได้จริง ๆ หรือเปล่า ? ไอ้ที่เราผสมกลิ่นนี้นั้นกับเทียน ซึ่งเป็นความรู้ที่เราหามาจากหนังสือมันพอไหม ?’ จริงอยู่ว่ามีคนเดินมาบอกกับเราว่าเขารู้สึกดี แต่มันช่วยบำบัดเขาเหล่านั้นได้จริงไหม นั่นเป็นคำถามที่พี่คาใจตัวเองว่า สิ่งที่เราทำได้ประโยชน์จริงหรือ ?”
กลิ่นธรรมชาติ คือ แก่นแท้
“การจุดเทียนหอมแสงปทีปในวันนั้น พร้อมคำถามในใจที่ผุดขึ้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่คิดว่า ต้องไปหาที่เรียนอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องนี้ และในที่สุดก็มาเจอโรงเรียนสอนทำน้ำมันหอมระเหยเพื่อสุขภาพ จึงติดต่อเข้าไป ซึ่งพี่ก็ลงเรียนต่อเนื่องเลยนะ คือ เรียนตั้งแต่เบสิกจนถึงระดับแอดวานซ์ เพื่อทำความเข้าใจว่า essential oil คืออะไร ? มาจากอะไร สกัดอย่างไร และนำไปใช้อย่างไร ณ จุดนั้นมันเปิดโลกเราใหม่ทั้งหมด นำพาเราเข้าสู่โลกของกลิ่น ที่มีอะไรมากกว่าที่เราคิดเยอะมาก
“พอจบขั้นแอดวานซ์ พี่ก็เรียนต่ออีก โดยสมัครเรียนกับอาจารย์มาร์ติน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้กลิ่นบำบัดชาวเยอรมัน เกี่ยวกับเรื่อง ‘Global Holistic Aroma Therapy’ กับเรื่อง ‘Aroma Consult’ ซึ่งคลาส Global Holistic Aroma เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการใช้กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยหลาย ๆ ตัว จากทั่วโลกในการนำมาบำบัดคน ในเชิงแบบองค์รวม ซึ่งได้ความรู้เยอะมาก พอเรียนคอร์สนี้จบ พี่ก็ไปเรียน Aroma Consult ต่อ เป็นเรื่องการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ essential oil ในการใช้กลิ่นเพื่อบำบัดโดยตรง
“ซึ่งระหว่างทางที่พี่เรียน มีหลายสิ่งที่พี่เจอแล้วรู้สึกอะเมซิ่ง ประมาณว่าถ้าเป็นในการ์ตูน ก็คงเหมือนช็อตอ้าปากค้าง คือรู้สึก ว้าว ! ตลอดระยะเวลาที่เรียน และทึ่งว่ากลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติมันช่วยคนได้ขนาดนี้เลยหรือ? อย่างตอนที่พี่ได้สัมผัสถึงพลังงานจากกลิ่นอโรม่าธรรมชาติที่ส่งผลต่อมายังพลังงานในตัวเราครั้งแรก อาจารย์ให้เราถือ essential oil ตัวหนึ่ง แค่ถือนะยังไม่ได้ดม พอถือเสร็จ เขาก็จะมีการทดสอบว่าร่างกายเราตอบสนองอย่างไร เกิดอะไรกับความรู้สึกภายในเราบ้าง
ปรากฏว่าเวลาถือตัว essential oil ที่เป็นธาตุของเรา จะเหมือนมีความแข็งแรงเกิดขึ้นภายใน ขณะเดียวกันพอเปลี่ยนมาถือ essential oil ที่เป็นธาตุตรงข้าม เรากลับรู้สึกอ่อนแอลง
สิ่งนี้อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างพลังงานของเรา กับพลังงานของ essential oil ซึ่งมันทำให้พี่รู้สึกทึ่งมาก
“ซึ่งอาจารย์เขามาเฉลยภายหลังว่า น้ำมันหอมระเหยธรรมชาติที่ให้ถือนั้น เลือกมาจากธาตุเจ้าเรือนประจำตัวเรา โดยดูจากเดือนเกิด พี่เกิดเดือนสิงหาคมปลายเดือน พี่จะเป็นธาตุลมค่อนมาทางน้ำ ซึ่ง ลาเวนเดอร์ จะเป็น essential oil ของกลุ่มธาตุน้ำ ขณะที่เราถือ essential oil ในธาตุของเรา เราจึงรู้สึกมีพลัง ขณะที่อีกตัวหนึ่ง อาจารย์ให้ถือ essential oil ที่อยู่ในธาตุไฟ ซึ่งเป็นธาตุคู่ตรงข้ามกับธาตุของเรา กลายเป็นว่าอันนั้นดึงพลังงานของเราลง ทำให้เราไม่ผ่อนคลาย การทดลองกับตัวเองครั้งนั้นทำให้เรารู้สึกว้าว และทำให้เรารู้ว่า essential oil เขาไม่ใช่แค่ผ่อนคลายเท่านั้น แต่เขาทำอะไรได้มากกว่านั้นมาก ๆ ในเชิงของพลังงาน
“นั่นคือตัวอย่างของสิ่งที่ได้เรียนรู้มา ซึ่งพอเรียนจบก็ทำให้พี่ได้พบว่า จริง ๆ แล้วแก่นแท้ของแบรนด์สินค้าของเรา มันไม่ใช่เทียนอีกต่อไป แต่มันก้าวข้ามไปมากกว่านั้น มันคือกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ และการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อช่วยเหลือผู้คน หัวใจหลักมันอยู่ตรงนี้ พอตกตะกอนได้ดังนั้นเรานำความรู้ที่เรียนมา มาใช้เลือกกลิ่นหอมที่ผสมกันให้ตอบรับกับผู้คน ให้เกิดประโยชน์เชิงสุขภาพกายใจได้มากขึ้น”
เมื่อ essential oil พาก้าวสู่ความรู้สึกในใจ
ขณะที่พูดคุยกัน พี่เอ๋ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่น่าสนใจในเคสต่าง ๆ ด้วยแววตาเป็นประกาย แต่ที่ฉายแววกระพริบวิบวับที่สุด คือตอนที่เธอกล่าวถึงเคสการทดสอบในช่วงสุดท้ายของการเรียน ซึ่ง essential oil เชื่อมโยงความรู้สึกของเธอกับคนที่เธอตกหลุมรักได้อย่างน่าอัศจรรย์
“วันสุดท้ายของการเรียน อาจารย์จะให้นักเรียนจับคู่กัน แล้วก็เหมือนให้เราทำ aroma tasting ตามลำดับขั้นตอนหลัก ๆ ที่อาจารย์สอน เพื่อนที่จับคู่กับพี่ และใช้กลิ่น 4 กลิ่นในการทดสอบโดยที่เราจะไม่รู้ข้อมูลของกลิ่น ๆ นั้น โดยกลิ่นแรกที่พี่ดม พี่ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่เพื่อนเขาบอกว่าใส่ essential oil ลงไปเยอะมาก จึงสงสัยกันว่าทำไมเราไม่ได้กลิ่น
ในการทดสอบ เขาก็จะให้เราพูดในสิ่งที่เรารู้สึก เวลาเราดมกลิ่น ว่าเรารู้สึกอย่างไร เห็นภาพอะไร ได้ยินเสียงอะไร แล้วเราเห็นสีอะไร ซึ่งที่กลิ่นสามารถทำให้เกิดสิ่งนี้ได้ ก็เพราะว่ากลิ่นจะไปกระตุ้นสมองในส่วนที่เป็นความทรงจำ ความรู้สึก
อะไรแบบนี้ ดังนั้นกลิ่นจะไปดึงความรู้สึกบางอย่างออกมาจากสมองและความทรงจำของเรา
“กลิ่นที่สองพี่ดมแล้วพี่ก็รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้ไปไหนเลย ไม่เห็นคนด้วย เห็นแค่อะไรที่มืด ๆ เทา ๆ ขณะที่กลิ่นที่สาม พี่เห็นถนน มีแสงไฟสลัวส่องมา เป็นเวลากลางคืน แต่ไม่เห็นคน ก็เหมือนเริ่มเห็นภาพ พอมากลิ่นสุดท้าย พี่เกิดภาพในหัวเต็มไปหมดเลย ทั้งน้ำตก ป่า ความอุดมสมบูรณ์ ทำให้เรารู้สึกว่ากลิ่นนี้มันเติมเต็มความรู้สึกของเรา และทันใดนั้นเอง ก็มีภาพผู้ชายคนหนึ่งปรากฎขึ้นมา เราก็รู้สึกตกใจมากเลย
“พอจบการทดสอบ อาจารย์ก็จะมาเฉลยว่าทำไมแต่ละกลิ่นเราจึงรู้สึกแบบนั้น ซึ่งพอเราฟังแล้วอึ้งไปพอสมควรเลย เพราะกลิ่นแรกที่ดม มันเป็นกลิ่นของธาตุไฟ ในเชิงสัญลักษณ์ที่อาจารย์ตีความให้ก็คือ เหมือนเวลาที่เราเจอสิ่งที่มันตรงข้ามกัน ที่มันไม่ถูกกันมาก ๆ เพราะว่าพี่เป็นน้ำแล้วพี่ไปเจอไฟ สิ่งที่พี่เลือกปฏิบัติคือ พี่ไม่ได้ไปต่อต้านเขา แต่พี่เลือกที่จะปิดตัวเอง เลือกที่จะไม่ได้กลิ่น ซึ่งก็ตรงกับนิสัยพี่
“พอมากลิ่นที่สองนี่กลายเป็นกลิ่นที่เชื่อมโยงกับอดีตคนรัก เป็นกลิ่นที่อยู่ในเดือนเกิดของคนรักเก่า พี่ก็รู้สึกว่า เออ มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เรารู้สึกต่อคน ๆ นั้นจริง ๆ
“ครานี้พอเป็นกลิ่นที่สามที่เราเห็นหนทาง มีแสงสลัว มีความโรแมนติก ไม่ได้รู้สึกกลัว เฉลยว่าที่เป็นแบบนั้นก็เพราะกลิ่นนั้นเป็นกลิ่นที่อยู่ในธาตุเจ้าเรือนของเรา มันเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเราเอง
“ทีนี้มันมาเซอไพรซ์เรามาตรงกลิ่นที่ 4 ซึ่งเป็นกลิ่นในเดือนเกิดของผู้ชายที่พี่ตกหลุมรัก (กลั้วยิ้มเขิน ๆ) มันก็เลยทำให้เหมือนเคมีของกลิ่น ที่มันไปเชื่อมโยงกับบุคคลที่อยู่ในราศีนี้ด้วย จึงทำให้เรารู้สึกปลอดภัย รู้สึกเหมือนเมื่ออยู่ใกล้คน ๆ นี้ แล้วเรารู้สึกดี รู้สึกคุยกับคนนี้ได้ ก็คือเขาเป็นกลิ่นที่มาส่งเสริมพลังงานของเรา แม้มันไม่ได้เป็นกลิ่นของธาตุของเรา
“นี้แหละที่ทำให้พี่รู้สึกว่า essential oil มันมีมิติที่น่าสนใจมาก ๆ เลยนำความรู้ที่ได้มาลองทำ มาลองบูรณาการแล้วก็ลองทำเทสต์ เปิดให้คนมาทำ aroma testing เหมือนกับที่พี่ทำตอนเรียน แล้วก็พบผลลัพธ์ที่มันน่าทึ่งหลายอย่าง เพราะว่ากลิ่นเข้าไปช่วยปลดล็อกอะไรบางอย่างในตัวคน ซึ่งพี่ชอบกระบวนการทำงานอันนี้มาก สุดท้ายแล้วกลิ่นนี้เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็จะมีกลิ่นที่เป็นแคแร็กเตอร์ของตัวเอง แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย ทั้งที่ดมกลิ่นเดียวกัน
ดิน น้ำ ลม ไฟ ใน essential oil 101
ว่าแล้ว พี่เอ๋ ก็เริ่มขยายความเกี่ยวกับศาสตร์ด้านการใช้ essential oil ให้เราฟังเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการนำกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติไปใช้ให้เกิดประโยชน์ยิ่งขึ้น โชคดีเลยเป็นของเราที่เหมือนได้เข้าเรียนคลาสการใช้น้ำมันหอมระเหย 101 ไปในที
“ต้องบอกก่อนว่า essential oil นี้ จริง ๆ แล้ว เขาเหมือนเป็นยาจากธรรมชาติ คือสิ่งที่เราสกัดออกมาไม่ใช่แค่ความหอม แต่ในนั้นมันมี ‘active ingredients’ มากมาย ที่จะช่วยบำบัดรักษาเราได้ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ ไปจนถึงจิตวิญญาณ
หากยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ตัวยาบางอย่างที่เรากินอย่าง ‘ยาธาตุ’ หรือ ‘ยาหอม’ มันก็มาจากพืชใช่ไหมคะ และถ้าเราอ่านส่วนผสมเราจะพบว่ามีสารสำคัญบางตัวที่สกัดมาจากพืช ซึ่งเป็นส่วนของน้ำมันหอมระเหย และประโยชน์สรรพคุณทางยานั้น ๆ ก็มาจากเจ้าน้ำมันหอมระเหยนี้แหละ ก่อนจะถูกพัฒนานำมาผสมและพัฒนามาเป็นยา แต่ดั้งเดิมแล้ว จริงๆ มันก็คือยาจากธรรมชาตินั่นเอง อยู่ที่ว่าเราเอาเขามาใช้ยังไง
“ทีนี้ในเชิงร่างกาย และในการรักษา ซึ่ง essential oil นั้นมีมาเป็นพัน ๆ ปี แล้ว ตั้งแต่สมัยตอนทำมัมมี่เขาก็ใช้ essential oil ในการรักษาศพเอาไว้ ซึ่งอันนั้นก็เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ essential oil ทำได้ การทำงานของ essential oil เปรียบเหมือนสามเหลี่ยมพีระมิด โดยมีส่วนฐานเป็นเรื่องการรักษาเชิง ‘physical’ แล้วไล่เรียงขึ้นสู่ยอดทีละชั้นเชื่อมโยงกันตั้งแต่ ‘emotional’ ไปจนถึง ‘mental’หรือ ‘soul’ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่สามารถช่วยเชื่อมโยงเรากับพลังงานเบื้องลึกในตัวได้
“การนำ essential oil มาใช้งานนั้นเลียนแบบมาจากธาตุทั้งสี่ในร่างกายคน คือ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมถึงศาสตร์ดวงดาว ทั้งตะวันตกและตะวันออก
ซึ่งอาจารย์มาร์ติน รวบรวมความรู้ที่ท่านศึกษาร่วมกับประสบการณ์การทำงานกับน้ำมันหอมระเหยมาอย่างยาวนาน ได้ออกแบบ Fragrance circle ซึ่งรวมessential oil มาเป็นร้อย ๆ ชนิด ที่แบ่งธาตุและระดับการใช้ ขึ้นมาเพื่อเป็นแนวทางในการบำบัดรักษา
“คำถามคือ เราจะแบ่ง essential oil อย่างไร? คำตอบก็คือ แบ่งตามราศีเกิดของบุคคล ซึ่ง essential oil ที่จะเลือกใช้ก็จะเชื่อมโยงกับบุคคลนั้น ๆ เป็นกลิ่นประจำธาตุ ประจำราศี ที่ต่างกันไป เช่น คนที่เกิด ‘ราศีธาตุลม’ ก็จะมี กลิ่นเบอร์กามอต เป็นกลิ่นหลัก กลุ่มราศีธาตุลม ก็คือผู้ที่เกิดในราศีเมถุน กรกฎ และ สิงห์ ตรงนี้หากเจาะลงรายละเอียดไปอีก ก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนคาบเกี่ยวกันด้วย คือ ราศีกรกฎ จะอยู่ตรงกลาง ขณะที่ ราศีมิถุน และ ราศีสิงห์ จะอยู่ข้าง ๆ ดังนั้นกรกฎที่อยู่ตรงกลาง จึงเป็น ‘แม่ธาตุลม’ ที่ไม่คาบเกี่ยวกับธาตุอื่น ขณะที่ราศีสิงห์ก็จะมีส่วนคาบเกี่ยวไปทางธาตุน้ำ เพราะอยู่ติดกับราศีธาตุน้ำ และมิถุน ก็จะคาบเกี่ยวกับธาตุไฟ
“ถ้าให้เป็นคีย์ที่ช่วยให้จำง่ายขึ้นก็คือ essential oil เกี่ยวกับธาตุลมจะเป็นกลิ่นที่มาจากพืชกลุ่ม ‘citrus’ กลิ่นผลไม้ กลิ่นแบบสดชื่น พวกส้ม เกรปฟรุต มะกรูด เลมอน อะไรแบบนี้ แต่จริง ๆ ก็มีอย่างอื่นอีกนะ คือถ้าจะจำง่าย คนอ่านที่อยากนำไปใช้เลือก essential oil ก็เลือกกลิ่นในโซนนี้ ก็จะช่วยในการเสริมพลังงานของเราได้
“ส่วนธาตุน้ำ ก็จะเป็นกลิ่นเชิงดอกไม้ ธาตุน้ำ ราศีแม่ธาตุ คือ ราศีตุล โดยธาตุน้ำจะมี ราศีกันย์ ตุล พิจิก กลิ่นหลักที่เป็นกลิ่นแม่ธาตุคือกลิ่น ‘เจอเรเนียม’ แนวของกลิ่นธาตุน้ำก็จะเป็นกลิ่นดอกไม้ อย่างกลิ่น เจอเรเนียม ลาเวนเดอร์ กระดังงา มะลิ อะไรแบบนี้ค่ะ ก็ถือว่าเป็นกลิ่นที่ส่งเสริมพลังงานของคนในธาตุนี้
“ธาตุดิน ก็คือคนที่เกิดราศี ธนู มังกร กุมภ์ ธาตุดินกลิ่นของเขาจะมาเชิง ไม้ ๆ กลิ่นพืชที่มาจากดิน จากพื้นหญ้า กลิ่นหลักของเขาจะเป็นกลิ่น ‘patchouli’ คนไทยบางคนจะเรียกว่า ‘พิมเสนต้น’ กลิ่นของกลุ่มราศีธาตุดินมันจะสื่อถึงความเป็นผู้ชายด้วย จึงนิยมนำมาทำน้ำหอม เพราะโดยธรรมชาติของกลิ่นกลุ่มนี้ เขาจะมีความสามารถเก็บกลิ่นตัวอื่น ๆ เข้ามาไว้ในตัวเองได้ ดังนั้นนักทำน้ำหอมก็มักจะใช้กลิ่นกลุ่มนี้ในการช่วยเก็บกลิ่นอื่น ๆ ไว้
“ส่วนธาตุไฟ ก็จะได้แก่ ราศีมีน เมษ พฤษก กลิ่นหลักก็คือ ‘กลิ่นโรสแมรี’ วิธีสังเกตกลิ่นของกลุ่มราศีธาตุไฟ คือเป็นกลิ่นแนวสมุนไพร เครื่องเทศ เป็นพืชที่ให้ความเผ็ดร้อน พวกอบเชย ยูคาลิปตัส ขิง ข่า ทีทรี ก็จะเป็นกลิ่นธาตุไฟ
“กลิ่นในแต่ละหมวด ก็จะแสดงบุคลิกที่แตกต่างกันไปเหมือนคน เช่น คนที่อยู่ในธาตุไฟก็จะมีพลังล้นเหลือ ทำโน่นนี่ กลิ่นที่อยู่ในธาตุไฟเองก็ทำงานแบบนั้น คือเขามีหน้าที่ในการ ‘move and drive’ คนให้ขับเคลื่อนพลังงานไปข้างหน้า
ซึ่งความหนักเบาของกลิ่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นไฟไฟแบบไหน ไฟแท้แม่ธาตุตรงกลาง หรือไฟที่ติดไปทางธาตุดิน ไฟติดไปทางธาตุลม มันก็ขึ้นอยู่กับการใช้งาน บางทีก็จะเป็นไฟที่สุขุม หรือ ไฟอุ่น ๆ ก็จะเป็นกลุ่มของราศีธาตุไฟที่ติดกับราศีธาตุดิน กลิ่นที่เหมาะกับกลุ่มนี้ก็เช่น โรสวู้ด อบเชย อะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็มีความเป็นไฟ แต่เป็นไฟที่นุ่ม ไม่ปรู้ดปร้าด เหมือนอย่างโรสแมรี หรือ ไธม์
“กลิ่นของธาตุไฟ ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เราเกิดพลังงาน เกิดการขับเคลื่อน นี้เป็นเหตุผลที่ทำไม ‘ยาดม’ จึงใช้กลิ่นยูคาลิปตัส เพราะพอได้กลิ่นปุ๊บ ก็ช่วยชาร์จพลังให้รู้สึกเด้งขึ้นมาได้เลย อันนี้ก็ได้ผลอย่างรวดเร็ว
“ขณะเดียวกันกลิ่นที่อยู่ในธาตุลม มันก็ช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ไอเดีย เช่นเวลาที่เราต้องการไอเดียใหม่ ๆ ความคิดสร้างสรรค์ พลังงานที่มันฟูขึ้น หรือช่วงเวลาที่ธาตุบางธาตุไม่สมดุล เราอาจจะรู้สึกติดขัดเรื่องไอเดียเหลือเกิน กลิ่นที่อยู่ในธาตุลมก็จะมาช่วยเราในจุดนี้ได้
“ส่วนกลิ่นของธาตุน้ำ จะเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรักตัวเอง มันจะพาเราดำดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ จะเชื่อมโยงกับความรู้สึก และอารมณ์ ความรู้สึกรักตัวเอง ความรู้สึกรักผู้อื่น
“ ธาตุดิน จะเป็นเรื่องของความมั่นคง ความปลอดภัย เหมือนอะไรที่อยู่กับดิน อะไรที่อยู่ในความเป็นจริง ก็จะเป็นลักษณะของคนธาตุนี้ด้วย กลิ่นเขาก็จะเป็นกลิ่นหนัก ๆ แน่น ๆ
เมื่อไรที่ต้องพึ่งพาพลังจาก essential oil ธรรมชาติ
พอได้รู้ลึกถึงวิธีใช้ essential oil จากพี่เอ๋แล้ว คำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วเมื่อไร หรือ ใคร ที่ควรใช้ essential oil เพื่อบำบัดรักษาร่างกาย พี่เอ๋ กล่าวกับเราว่า แต่ละวันเราทุกคนผูกพันกับกลิ่นมากมาย ทั้ง สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ฯลฯ แต่คำถามคือ กลิ่นเหล่านั้นมาจากธรรมชาติไหม เพราะกลิ่นสังเคราะห์นั้นไม่ส่งผลดีต่อระบบทางเดินหายใจในระยะยาว
“กลิ่นในเชิงการค้ามักเน้นการสร้างอารมณ์ สมมติว่าเราต้องการกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสะอาดอ่อนโยน
กลิ่นสังเคราะห์สามารถสร้างความรู้สึกนั้นได้ก็จริง แต่ประเด็นสำคัญคือ มันไม่สามารถเยียวยาร่างกายหรือจิตใจในระดับลึกของเราได้
มันแค่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเท่านั้น ถ้าเทียบง่าย ๆ เหมือนเวลาเราทำอาหารด้วย มะนาวปลอม และจาก น้ำมะนาวจากผลสด แม้จะให้รสเปรี้ยวเหมือนกัน แต่มะนาวสดจะได้ประโยชน์เชิงสุขภาพมากกว่า กลิ่นสังเคราะห์และกลิ่นธรรมชาติก็เป็นแบบนั้น
“ซึ่งพอพี่รู้ตรงนี้แล้วก็รู้สึกว่า ที่ผ่านมาเราไปหลงกับความหอมโน่นนี่นั่นที่มันไม่เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ มันเลยทำให้เราแยกแตกต่างชัดเจนว่า ถ้าเราจะเลือกกลิ่นที่เราใช้เราขอเลือก essential oil จากธรรมชาติดีกว่า เหมือนถ้าเราเลือกทำกับข้าวเราก็จะเลือกใช้มะนาวสดมากกว่ามะนาวปลอม
“ถ้าให้พี่แนะนำ พี่ก็จะขอแนะนำว่า ถ้าหากใครที่หลงไหลในกลิ่นหอม ให้ลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติ และใช้กลิ่นที่มาจากธรรมชาติดีกว่า เพราะในระยะยาวจะดีต่อระบบทางเดินหายใจของเราแน่นอน และที่สำคัญเลยคือ กลิ่นที่สกัดจากธรรมชาติด้วยวิธีที่ปลอดภัยจะเข้าไปทำงานกับระบบต่าง ๆ ของร่างกาย อย่างที่บอกไปว่ากลิ่นทำงานโดยตรงกับสมอง ครานี้พอสมองมันถูกขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่ดี จะไปกระตุ้นระบบต่างๆ ในร่างกายแบบอัตโนมัติ ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เหมือนเป็นโดมิโน่ในการดูแลร่างกายเรา
“ทีนี้ถ้าจะถามว่าถึงเวลาหรือยังที่ควรใช้ essential ในการบำบัด ก็ต้องอธิบายว่า การใช้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยนั้นจะมีระดับของการบำบัด อาจเริ่มจากคนที่รู้สึกอ่อนล้า ไม่สดชื่น ทำอย่างไรก็รู้สึกไม่ดีขึ้น กลิ่นหอมของ essential oil จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นประสาทสัมผัสหนึ่งที่ช่วยได้ และเป็นได้มากกว่าการผ่อนคลาย คือ ผ่อนคลายเหมือนเป็นประตูบานแรก เมื่อเรารู้สึกผ่อนคลายแล้วก็จะก่อเกิดพลังงานดีต่าง ๆ ให้กลับมา กระตุ้นให้เรามีพลังงานที่จะไปทำโน่นนี่ได้ ซึ่งพลังจากธรรมชาตินี้สามารถเยียวยาได้
“ในต่างประเทศเองเขาก็มีงานที่ใช้น้ำมันหอมระเหยในการบำบัด มีงานวิจัยที่เขียนหนังสือออกมาในการใช้ essential oil เพื่อช่วยเพิ่มสมาธิให้กับเด็กที่มีภาวะออธิสติก คนที่มีภาวะซึมเศร้า บุคคลที่มีภาวะเจ็บปวดฝังใจในระดับลึก
เหมือนการบำบัดตัวต่อตัว และให้กลิ่นเป็นตัวเชื่อมต่อและช่วยบำบัดรักษาเยียวยาอาการป่วยทางใจให้กับผู้คนได้
“บางครั้งต้นเหตุของอาการที่เป็นอยู่ มันคือเรื่องที่อัดอั้นอยู่ในใจ พอคน ๆ นั้นได้พูดออกมาโดยมีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยช่วยนำทาง มันก็ก่อเกิดการเยียวยาและรู้สึกดี
อีกอย่างที่ต้องบอกคือกลิ่นนั้นมีคลื่นความถี่อยู่ในตัว เหมือนพลังงานดีที่ทำให้พลังงานในร่างกายเราดีขึ้น เหมือนกับพลังงานจากผลึกคริสตัล ที่มาช่วยเราได้
“มีเคสของคนที่เป็น อินฟลูเรนเซอร์คนหนึ่งที่มาหาพี่ ด้วยความรู้สึกติดขัดว่าเขาสับสนไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตดี รู้สึกหาทางออกไม่เจอ พอหลังจากที่ทำ aroma testing แล้ว กลิ่นที่ได้มานั้น ช่วยทำให้เขารู้สึกเห็นทางออกว่าเขาจะเดินต่ออย่างไร พี่จำได้แม่นเลย ว่าวันนั้นเขาตั้งชื่อกลิ่นของเขาว่า ‘North Star’ คือเป็นกลิ่นที่เสมือนดาวเหนือที่ช่วยนำทางเขา แล้วพอหลังจากนั้นผ่านไปสัก 3-4 เดือน เขาก็ติดต่อกลับมาหาพี่ว่า ตอนนี้เขาไปถึงเป้าหมายของเขาแล้ว เขาประสบความสำเร็จในเป้าหมายตรงนั้นแล้ว
“essential oil ที่พี่เลือกใช้ในการทำ aroma testing พี่จะพิจารณาจากหลายปัจจัยเพื่อให้ได้น้ำมันหอมระเหยที่มาจากธรรมชาติและบริสุทธิ์ที่สุด เลือกตั้งแต่แหล่งที่มาของพืชที่ใช้สกัด เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ที่มาจากฝรั่งเศส
เป็นต้น และเลือกกลุ่มน้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วยการต้มกลั่นเป็นหลัก เพราะเป็นวิธีที่บริสุทธิ์ที่สุดแล้ว ซึ่งการทำเทสต์แต่ละครั้งนั้นต้องใช้เวลาระหว่างพี่และผู้ที่ต้องการทำเทสต์ประมาณ 1.30 -2 ชั่วโมง เพราะต้องผ่านการพูดคุย ทดสอบ ประมวลผล และผสมกลิ่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ของบุคคลคนนั้น
“นี้เป็นตัวอย่างที่นำมาเล่าให้ฟัง เวลาพี่ทำ aroma testing ก็จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางรับข้อความจากน้ำมันหอมระเหยผ่านผู้เทสต์ แบบปล่อยใจเป็นกลาง ไม่คาดหวัง ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะ ณ เวลานั้น คือทำขึ้นเพื่อผู้ที่มาทำและเกิดขึ้นเพื่อบุคคลนั้น
ฝันในใจ ที่อยากใช้กลิ่นหอม ก่อแรงกระเพื่อมแห่งความสุขสู่สังคม
เรื่องราวของกลิ่นหอมที่อัดแน่นอยู่ในความทรงจำและความชำนาญของพี่เอ๋ ถูกเล่าออกมาอย่างรวบรัดตัดตอน แต่เพียงเท่านั้นเราก็สัมผัสได้ว่า ทุก ๆ อย่างที่เผยออกมาของศาสตร์แห่งกลิ่นนี้ช่างล้ำลึก และละเอียดลออเหลือเกิน พี่เอ๋กล่าวกับเราว่า
“โค้ชที่พี่นับถือท่านนึงเคยกล่าวว่า ‘ไม่มีงานไหนที่เล็กเกินไป’ ซึ่งพี่ก็เชื่อแบบเดียวกัน
การใช้กลิ่นหอมนำทางผู้คนให้สามารถคลี่คลายปมในใจ และกลับมาเห็นคุณค่าของตน อาจฟังดูไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก แต่ก็อย่างที่บอกว่า ไม่มีงานไหนบนโลกนี้ที่เล็กเกินไป
การทำงานทุกอย่างอย่างจริงใจมันก็เหมือนการสร้างคุณค่าให้กับตนเอง เราได้เอาความรู้ของเรามาแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น ยิ่งเราได้ให้เขาไปมากเท่าไร ก็เหมือนเราได้ขัดเกลาจิตใจตนเองมากขึ้นเท่านั้น มันก็ไม่ใช่เฉพาะแบรนด์ หรือ น้ำมัน มันก็เป็นตัวพี่ด้วยที่ได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นค่ะ ผ่านการทำงานของสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น ที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างทางที่เราทำ เหมือน essential oil ก็นำทางพี่ด้วยเหมือนกัน
“พี่มองว่าการที่พี่ได้ใช้ความรู้เรื่องกลิ่นบำบัดมาช่วยให้คน ๆ หนึ่ง ให้ได้กลับมารู้สึกดีกับตัวเอง มีพลังใจมากขึ้น เพียงพอที่จะกลับมาทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า สร้างสรรค์กลิ่นหอมที่ช่วยนำทางเขาให้เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นแล้ว เขาคนนั้นก็จะส่งต่อพลังบวกสู่คนในครอบครัวเขา เป็นแรงกระเพื่อมที่ดี ที่แผ่กระจายออกไปสู่สังคม ผลลัพธ์ก็คือสังคมก็จะมีแต่อะไรที่ดี ๆ เกิดขึ้น โดยมีเราเป็นเสมือนต้นทาง คล้ายเทียนเล่มหนึ่งที่จุดขึ้น และให้เขาได้นำเทียนของเขามาจุดต่อเพื่อนำแสงสว่างนั้นไปขยาย ซึ่งพี่เชื่อว่ามันเป็นพลังงานที่ดีแน่นอน พี่เชื่ออย่างนั้น”
บทสนทนาจบลง แสงเทียนจากเทียนหอมถูกเป่าดับ เหลือเพียงกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ลอยอวลอยู่ในอากาศตรงหน้า ทว่าแสงสว่างและกลิ่นอโรม่าของเจตนาอันดีที่พี่เอ๋แสงปทีปเล่าให้ฟัง ยังคงส่องสว่างและกำจายกลิ่นหอมอยู่ภายในใจฉัน นี้เองสินะคือการส่งต่อเทียน และกลิ่นหอมแห่งความสุขที่เธอหมายใจ และทำมันได้สำเร็จ
ท่านใดสนใจทำ ‘Personal Aroma Testing’ จาก essential oil ธรรมชาติ เพื่อการ ส่งเสริม บำบัด เยียวยา รักษาสุขภาพ ติดตอสอบถาม หรือ ตามรายละเอียดได้ที่ Instagram : lilou&laliart และ facebook : Saengprateep
ภาพ: เอกกมล ธีปฏิกานนท์