เรารู้จัก แพร-พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ จากบทบาทพิธีกร และนักแสดง ก่อนที่เธอจะผันตัวไปสู่การเป็นนักเล่าเรื่องอาหารผ่านเพจ ‘PEAR is hungry’ พื้นที่ที่เธอใช้ ‘อาหาร’ เป็นสื่อกลางในการเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และขยายขอบเขตการถ่ายทอดเรื่องราวของไปยังต้นทางของแต่ละเมนู กระทั่งแพรได้ร่วมทริป ‘Chiang Dao Classroom’ สถานที่ที่เป็นทั้งจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอเห็นว่าทุก ๆ การกระทำของเรามีผลต่อธรรมชาติหมด ขณะเดียวกันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสนใจเรื่องความยั่งยืนและความรักที่เธอมีต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
เรามีนัดกับแพรเพื่อพูดคุยถึงสิ่งที่เธอทำทั้งในฐานะนักเล่า ผู้ขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านโปรเจ็กต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคมเปญ ‘กินหมดจาน’ ที่เธอทำต่อเนื่องมาถึงสองซีซั่น และกำลังจะเข้าสู่ซีซั่นที่สามในปีนี้ ไปจนถึงสิ่งที่เธอได้รับจากงานที่ทำ ซึ่งสำหรับเราแล้ว การคุยกับแพรแม้เพียงชั่วโมงกว่า ๆ เราสัมผัสได้ถึงความตั้งใจในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับธรรมชาติ จนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่นำ และจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าไม่เพียงแต่ภายในตัวเธอ แต่รวมไปถึงคนอื่น สิ่งอื่น และโลกของเราด้วย ไปฟังเธอเล่าอะไร ๆ เหล่านี้กัน
จากชีวิตหน้าม่านสู่การขับเคลื่อนทางสังคมผ่านอาหาร
“ต้องบอกก่อนว่าจุดเริ่มต้นของแพรจะมีหลายเฟส การเป็นพิธีกรคือภาพแรก และภาพจำของใครหลายคน หลังจากช่วงเวลานั้น แพรเริ่มทำช่องของตัวเองที่ชื่อว่า ‘PEAR is Hungry’ ซึ่งในเฟสแรกเกิดจากความเชื่อที่ว่า ‘อาหารทำให้เรารักกันได้’ ตัวแพรเองเป็นคนชอบกิน และยึดโยงเกี่ยวกับอาหาร รวมถึงจะรู้สึกเสมอว่าอาหารทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น ในเฟสแรกของพื้นที่นี้จึงเป็นการหยิบเอาอาหารไปเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อน
“จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนใหญ่ของ PEAR is hungry หลังจากวิกฤตโควิด รายการที่ต้องเข้าไปถ่ายทำที่บ้านของเพื่อน ๆ ก็ทำไม่ได้แล้ว จึงต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่ตามข้อจำกัดที่เกิดขึ้น เฟสที่สองจึงมุ่งไปที่การเล่าเรื่องเบื้องหลังของอาหารแต่ละจานว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร อาหารพาเราไปไหนบ้าง ซึ่งอาหารแต่ละเมนูไม่ใช่แค่การนั่งเล่าเรื่องราวอยู่หน้าจอ แต่พาแพรเดินทางไปพื้นที่ต่าง ๆ เยอะมาก ได้ไปเห็น ไปชิม รวมถึงเรียนรู้ และพื้นที่หนึ่งที่เรียกว่าเปลี่ยนมุมองของแพรไปมากทีเดียว ที่นั่นคือดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่”
ที่นี่เองที่แพรได้ร่วมทริป ‘Chiang Dao Classroom’ ซึ่งจัดขึ้นโดย มล-จิราวรรณ คำซาว และ Pearypie (แพร-อมตา จิตตะเสนีย์) การเข้าป่า 5 วัน แบบไม่มีทั้งน้ำ และไฟฟ้า เปิดโอกาสให้เธอได้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง เมื่อได้สัมผัสก็ได้ตระหนักว่าทุก ๆ การกระทำของเธอส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมถึงธรรมชาติ
“เชียงดาวเป็นพื้นที่ที่แพรได้เห็นการ Connect the Dots ของ ‘ทรัพย์สิน’ เห็นการเชื่อมโยงของสรรพสิ่งเช่น การที่เราทำอะไรสักอย่างหนึ่งมันส่งผลกระทบไปเป็นระรอก อย่างเรื่องการกิน ก่อนที่อาหารจะมาอยู่ตรงหน้าเรา มันมีต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมทั้งผ่านกระบวนการต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่การปลูกการเลี้ยงเป็นอย่างไร ดินเป็นอย่างไร มีแร่ธาตุของดินไหม การตัดแต่ง การขนส่ง การเข้าสู่ห้างกว่าที่จะมาถึงมือเรา มีผลกระทบเกิดขึ้นทั้งหมด แล้วพอมาถึงมือเรา เรากระทำกับอาหารเหล่านี้อย่างไร ก่อนที่จะหลุดจากมือเราไป
“พอเห็นว่าทุกอย่างเชื่อมโยงกันเป็นวงจรไปหมด และในท้ายที่สุดจะกลับมากระทบตัวเราเองด้วย แพรเลยตั้งใจว่า หลังจากนี้จะตั้งใจใช้ชีวิตให้ส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกัน ทุกอย่างที่เราทำจะต้องไม่เบียดเบียนตัวเองด้วย เมื่อคิดได้อย่างนั้น แพรจึงดึงเรื่องนี้เข้าไปอยู่ในแกนการเล่าเรื่องของ PEAR is hungry ด้วยว่าจริง ๆ แล้วเราสามารถใช้ชีวิตให้ Low Impact ได้ โดยสอดแทรกเป็นไลฟ์สไตล์เข้าไปจากการที่เราไปเดินทางไปชิมอาหารในสถานที่ต่าง ๆ เช่น มีการพกกล่องใส่อาหาร หรือพกแก้วน้ำไปร้านกาแฟ หลังจากนั้นจึงเริ่มปรับความเข้มข้นของวิถีแบบนี้ให้มากขึ้นทีละสเต็ป นี่เลยเป็นแกนหลักของเฟสปัจจุบันของ PEAR is hungry และแก่นการใช้ชีวิตที่ทำเรื่อยมาจนถึงตอนนี้”
‘กินหมดจาน’ มิชชั่นลดขยะอาหารด้วยกลไกเล็ก ๆ จากสองมือของเรา
“จุดที่แพรสนใจเรื่องขยะอาหารคือจุดที่เราไปเจอคลิปของ ก้อง-ชณัฐ วุฒิวิกัยการ จาก Konggreengreen ว่ากองขยะปริมาณแปดล้านกิโลกรัมที่เก็บได้ในแต่ละวันภายในกรุงเทพฯ ครึ่งหนึ่งคือขยะอาหาร ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น แพรคิดว่ามาจากที่เรามักมองว่าขยะอาหารสามารถย่อยสลายได้ด้วยตัว ไม่น่าเป็นปัญหาที่หนักหนาเท่ากับขยะพลาสติก แต่ในความเป็นจริง ขยะดังกล่าวส่งผลประทบต่อสิ่งแวดล้อมที่หนักเอาการ เพราะเวลาขยะอาหารย่อยสลายตัวเองมันจะสร้างก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลประทบโดยตรงซึ่งนำไปสู่วิกฤตการณ์โลกร้อน แถมยังมีปัญหาเรื่องเชื้อโรค เรื่องการติดไฟ และมีผลกระทบโดยตรงต่อพี่ ๆ พนักงานเก็บขยะที่ต้องคอยรับผิดชอบขยะดังกล่าวอยู่ด่านหน้า การที่คนทั่วไปยังไม่รู้ถึงความรุนแรงของปัญหานี้ว่ามากขนาดไหน จึงส่งผลให้บานปลายได้ทั้งที่จริง ๆ แล้ว พวกเราสามารถช่วยลดความรุนแรงของวิกฤตนี้ได้ด้วยตัวเราเอง
“พอรับรู้ถึงความหนักหนาของปัญหาขยะอาหาร นี่เลยกลายเป็นโจทย์ถัดมาของแพรว่า ‘แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะที่จะดึงขยะสี่ล้านกิโลกรัมนั้นกลับมาได้’ หลังจากนั้นจึงถูกต่อยอดไปสู่การปรับคอนเทนต์โดยใส่เรื่องความยั่งยืนของอาหารเข้าไป รวมทั้งการขับเคลื่อนผ่านโปรเจ็กต์อย่าง ‘กินหมดจาน’ เพื่อให้ทุกคนได้พูดคุยกัน และเห็นถึงปัญหานี้ร่วมกัน”
‘กินหมดจาน’ ดำเนินการโดย aRoundP อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่แพรก่อตั้งขึ้นในฐานะของการเป็น Project Creator โดยตั้งใจสร้างพื้นที่แห่งนี้เพื่อบอกเล่า ส่งต่อ และดำเนินการเรื่องราวดี ๆ สนุก ๆ ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเป็นมนุษย์เปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นได้ในแบบตัวเอง สำหรับกินหมดจานซีซั่นแรกดำเนินการในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2567 ทำขึ้นเป็นชาเลนจ์ที่ชวนผู้บริโภคมากินอาหารให้หมดจาน โดยถ่ายเป็นรูปหรือวิดีโอทั้งก่อน และหลังกิน แล้วโพสต์ลงแพลทฟอร์ม TikTok หลังจากได้รับฟีดแบคที่ดีเกินคาด แพรตั้งคำถามต่อไปว่า ‘แล้วเราทำอะไรได้มากกว่านี้ไหม?’ นั่นจึงเป็นที่มาของการทำกินหมดจานในซีซั่นที่สอง โดยถูกจัดให้เป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งของโครงการ ‘Restaurant Makeover’ ที่เชิญชวนผู้บริโภคมาลดขยะอาหารจากผ่านกิจกรรม ‘กินหมดจาน ชาเลนจ์’ นี้โดยผู้สนใจสามารถมาช่วยลดจำนวนขยะอาหารจากต้นทางได้ด้วยการกินภายใน 50 ร้านอาหารทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการคัดสรรจาก 50 คนดังทั้งสายกิน และกรีนที่เลือกมาแล้วว่ารสชาติอร่อยจนต้องกินหมดจาน
“ด้วยความสำเร็จของซีซั่นแรก แพรเลยมาตั้งทบทวนว่า เป้าหมายหลักเราจริง ๆ ที่เราทำแคมเปญนี้ขึ้นเพราะอะไร เราไม่ได้อยากสร้างเพียงแค่ความตระหนัก แต่อยากลดจำนวนขยะเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริงด้วย สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนคือเราตอบคำถามตัวเองไม่ได้ว่าพฤติกรรมผู้เข้าร่วมชาเลนจ์จะเปลี่ยนได้จริง ๆ ไหม มีการลงมือหรือพฤติกรรมเกิดขึ้นไหม ตรงนั้นเราพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย ดังนั้น ในซีซั่นสอง เลยคุยกันกับทีมว่าเราอยากสร้างพื้นที่ที่ทำให้คนมากินหมดจานด้วยกันดู แล้วเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในสถานที่ที่เราคิดว่าเป็นพื้นที่ที่คนจะมากินอาหารกันบ่อยที่สุดนอกจากบ้านแล้ว ก็คือร้านอาหาร ดังนั้น เราเลยร่างโครงงานขึ้นมา และเรียกโครงการนี้ว่า ‘Restaurant Makeover’ ที่เราจะไปทำงานร่วมกันกับร้านอาหาร โดยงานนี้เป็นโครงการนำร่องที่อยากชวนทุกคนมาจัดการการแยกขยะอาหารแบบเบื้องต้น แล้วนำส่งไปที่กรุงเทพมหานคร โดยลดขยะอาหารผ่านแคมเปญกินหมดจานนี่แหละ และยังคงคอนเซปต์ของกินหมดจานไว้เหมือนเดิม งานนี้เราได้รับความร่วมมือจากทีม Recycle Day, กรุงเทพมหานคร รวมไปถึงการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) อีกทั้งยังมีการเก็บข้อมูลขยะอาหารทั้งก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการเพื่อนำมาคำนวณเทียบกับการส่งขยะอาหารไปกำจัดด้วยวิธีการฝังกลบแบบเดิม กับเป้าหมายใหญ่คือการผลักดันให้เกิดการจัดการขยะอาหาร (เบื้องต้น) แล้วส่งต่อไปยังกรุงเทพมหานครเพื่อจัดการขยะอาหารจากร้านอาหารก่อนจะออกไปสู่บ่อขยะต่อไป”
“สำหรับซีซั่นสาม เราวางไดเร็คชั่นไว้ว่าน่าจะเป็นไตรมาสที่สามของปี 2568 โดยความแตกต่างที่วางแผนไว้คร่าว ๆ คือเราจะลงไปที่ร้านอาหารระดับเล็ก ซึ่งเป็นการขยายเพิ่มเติมในกลุ่มร้านที่ลึกขึ้น และไปถึงจุดกำเนิดที่ชัดเจนขึ้นค่ะ (ยิ้ม)”
เมื่อการเชื่อมจุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
จากการเก็บข้อมูลในระยะเวลา 45 วันของการดำเนินโครงการดังกล่าว แพร และทีมงานพบว่า น้ำหนักเศษอาหารที่ลดได้ทั้งหมดของโครงการอยู่ที่ 18,143.83 กิโลกรัม ซึ่งสามารถค่าเทียบเคียงกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 9,710.32 KgCo2eq และเทียบเคียงจำนวนการดูดซับโดยต้นไม้ 1,022 ต้น รวมไปถึงมีการคัดแยกขยะเศษอาหารได้สูงขึ้นถึง +36.05% อีกด้วย
น้ำหนักเศษอาหารที่ลดได้ทั้งหมดของโครงการอยู่ที่ 18,143.83 กิโลกรัม เทียบเคียงกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 9,710.32 KgCo2eq และเทียบเคียงจำนวนการดูดซับโดยต้นไม้ 1,022 ต้น
“ต้องบอกก่อนว่าสารตั้งต้นของแพรยังเหมือนเดิม คือเราอยากดึงขยะอาหารออกจากกองหลุมฝังกลบ แล้วเราก็ได้ผลตามนั้น เพราะว่าผลลัพธ์ที่เราได้ตอนนี้ 45 วันที่เราเก็บข้อมูลการจัดการขยะอาหารไม่ให้กลับไปที่แลนด์ฟิลล์ได้อยู่ที่ 18,143.83 กิโลกรัม ซึ่งตัวเลขข้างต้นสำหรับระยะเวลา 40 เกือบ 50 วัน พวกเราภูมิใจกับตัวเลขนี้ เพราะว่านี่เป็นระยะเวลาไม่นานมาก แพรลองคิดต่อไปว่า ถ้าเราเก็บไปเรื่อย ๆ จนครบปี แล้วลองคูณตัวเลขแบบพลัสเข้าไป จำนวนการลดขยะอาหารน่ามากกว่า และใหญ่ขึ้นกว่านี้ได้อีกมาก นอกจากนี้ เรายังได้ค้นพบระหว่างทางว่าอะไรคืออุปสรรค อะไรที่จะมาเป็นแรงขับเคลื่อน อะไรจะเป็นวิธีการที่เราสามารถนำไปสื่อสารกับคนที่เขาทำงานด้านนั้นอยู่จริง ๆ ได้เพื่อให้ก้าวพ้นความท้าทายต่าง ๆ ได้ ซึ่งการรวบรวมข้อมูลทุกอย่างเหล่านี้ก็เพื่อวันหนึ่งเมื่อเรานำไปให้คนที่ต้องทำงานต่อจริง ๆ มันจะสามารถผลักดันเรื่องเหล่านี้ให้เกิดอิมแพคได้มากขึ้น และน่าจะมากกว่าที่พวกเราทำด้วยซ้ำ
“มีอีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือเราได้เห็นเปอร์เซ็นต์ของร้านที่อยากทำต่อ และนี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราหวังไว้มาก เพราะเราไม่ได้ต้องการให้โปรเจ็กต์จบแล้วจบเลย แม้คุณค่าของตัวเลขของการลดจำนวนขยะอาหารที่เราเก็บได้มันจะเยอะ แต่มันจะไม่สำคัญอะไรเลย ถ้าท้ายสุดแล้วไม่มีใครสานต่อ ซึ่งน่าดีใจนะคะที่ได้พี่ ๆ หลายท่านอยากทำต่อเนื่องแม้ว่าจะจบโครงการแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่แพรรู้สึกว่าดีจังเลย เพราะมันแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราลงแรงไปไม่ได้หายไปไหน”
เมื่อหัวใจถูกเติมเต็ม ก็พร้อมที่จะส่งต่อ
“คงต้องบอกว่าสิ่งที่แพรได้ตอบแทนมาคือความดีใจ และสุขใจ เรารู้สึกว่างานที่ทำอยู่เป็นการขยายตัวเราแบบที่ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารแล้ว เพราะเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลง และผลกระทบที่เกิดกับคนที่อยู่ในโปรเจ็กต์ และนิเวศของโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ดีส่งผลไม่ใช่เพียงแค่ผู้ทำ แต่ยังไปถึงคนอื่น ๆ ด้วย เช่น การแยกขยะทำให้พี่ ๆ ในร้านอาหารทำงานง่ายขึ้น และส่งผลไปยังพี่ ๆ พนักงานเก็บขยะที่จะทำงานง่ายขึ้นและปลอดภัยขึ้นด้วย แพรคิดว่าความเปลี่ยนแปลงในตัวคนทำในทุก ๆ บทบาท ทำให้เรามีความคิดที่นึกถึงคนอื่น และเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น แพรไม่ว่ารู้ตัวเองโลกสวยเกินไปไหม แต่ส่วนตัวแพรคิดว่าพื้นฐานของคนเรามีความหวังดีต่อกัน ดังนั้น หากสิ่งที่เราทำกันอยู่แล้ว แต่ลองใส่ความพยายามบางอย่างที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจดี และหวังดีต่อกัน ถ้าความสัมพันธ์ลักษณะนี้สามารถดำเนินต่อไปได้ เราจะสามารถร่วมสร้างนิเวศแห่งการเกื้อกูลในสังคมได้เลยนะคะ
“ถ้าถามว่าแพรเอาพลังในการทำงานมาจากไหน เอาจริง ๆ แพรยังงงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงกระตือรือร้นขนาดนี้ (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้ สิ่งที่เราทำทุกอย่างก็เพื่อกลับมาเติมเต็มตัวเราเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยอมรับ ชื่อเสียง หรือเงินทองต่าง ๆ แต่พอเราใช้ชีวิตมาถึงจุดหนึ่งที่ เรามอง และคิดไกลขึ้นกว่าเดิมว่า ถ้าสิ่งที่เราทำอยู่สามารถตอบโจทย์ทั้งตัวเราเอง และทีมงานของเราได้ ขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถขยายขอบเขตไปถึงสิ่งอื่น คนอื่น เลยไปจนถึงสังคม และสิ่งแวดล้อมได้ด้วย มันน่าจะดีกว่า นี่คงเป็นสิ่งที่เรียกว่าแรงผลักดันในช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ แล้วยิ่งได้เห็นสิ่งที่ตอบแทนเรากลับมา อย่างเวลาที่ไปลงร้านอาหาร ได้เจอพี่ ๆ น้อง ๆ คุณลุงคุณป้ามาต้อนรับ มาเล่าถึงสิ่งที่พวกเขาทำว่าวันนี้พวกเขาแยกขยะแล้วนะ ได้เห็นการร่วมไม้ร่วมมือแบบเต็มใจ เลยเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจเราเต็มขึ้นมาก ดังนั้น เวลาที่สิ่งที่เราพยายามคิดกระบวนการด้วยตัวเองว่าทำอย่างไรดีให้สามารถชวนทุกคนมาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ด้วยกันเพื่อสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา แล้วมีคนเห็นด้วย แถมทำไปพร้อม ๆ กันกับเราอีก นี่คงเป็นพลังที่ค่อย ๆ เติมเต็มและผลักดันแพรไปข้างหน้าให้อยากคิด และอยากทำโปรเจ็กต์อื่น ๆ ต่อไปมากขึ้น”
ความยั่งยืนจะงอกงามได้ด้วยการไม่เบียดเบียนตัวเราและโลก
“ในเวลานี้ เราใช้ชีวิตจนเราลืมไปว่ามีคนข้างหลังเราอยู่ ถ้าเทียบว่าเรามีโลกอยู่ใบหนึ่ง เราใช้โลกไปใบกว่า ๆ เกือบสองใบได้แล้วนะคะ พอเห็นแบบนั้นเลยทำให้แพรกลับมานั่งคิดว่า เราจะส่งต่อโลกเบี้ยว ๆ แบบนี้ให้คนรุ่นหลังอย่างไร พวกเขาจะต้องโตมากับสภาพแวดล้อมแบบไหน แล้วหลังจากนี้ การผันแปรของโลกจะหนักหน่วงขึ้นอีก เด็ก ๆ รวมถึงตัวเราจะใช้ชีวิตอย่างไรในห้วงเวลานั้น
“ดังนั้น สิ่งที่แพรสามารถแนะนำได้จากมุมมอง และประสบการณ์ของตัวเอง อาจเริ่มตั้งคำถามกับการใช้ชีวิตของเรา เช่น จากการลิสต์รายละเอียดการใช้ชีวิตในวันของเราว่าเราเริ่มต้นวันจากอะไร ในรายละเอียดเหล่านั้น เราสามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้ไหม แพรไม่ได้บอกว่าเราจะต้องสุดเหวี่ยงหรือหักดิบถึงขนาดที่ว่า วันนี้ฉันจะเดินไปทำงาน หรือจะไม่ขับรถแล้ว เพราะเดี๋ยวจะไปเพิ่มฝุ่นควัน เพราะท้ายที่สุด ถ้าเราลองทำแล้วไม่ตอบโจทย์ชีวิต คุณจะกลับมาทำแบบเดิม และไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อีกต่อไป แต่กลับกัน ลองตั้งคำถามจากการใช้ชีวิตของเราว่า เราทำอะไรได้อีกไหมในรูปแบบที่ไม่บีบบังคับตัวเราเองจนเกินไป แพรเคยทดลองกับตัวเองเป็นเวลา 20 วัน จากที่เคยดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วจากร้าน แต่เปลี่ยนเป็นพกแก้วไปเอง ผลลัพธ์คือสามารถลดขยะได้เป็นร้อยชิ้นเลยนะ เมื่อเราลองทำ และทำได้แบบที่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระตัวเราแล้ว ลองขยับเพิ่มเติมทีละเล็กละน้อยดู ทดลองทำในรูปแบบที่เป็นตัวเรา และเราสามารถทำได้จริง ๆ เขยิบถอยมาเพื่อสร้างให้มันเป็นกลายเป็นพฤติกรรม เมื่อปรับได้จนเป็นกิจวัตร มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันเราในที่สุด ถึงเวลานั้นเราจะสามารถอยู่กับสิ่งนี้ไปได้เรื่อย ๆ แบบที่ยั่งยืนกว่า
ความยั่งยืน คือการมีสติ และรู้ในเรื่องการใช้ชีวิตโดยไม่เบียดเบียน ตัวเราเอง คนอื่น รวมถึงโลก
“สำหรับแพร ‘ความยั่งยืน’ คือการมีสติ และรู้ในเรื่องการใช้ชีวิตของตัวเอง คือการใช้ชีวิตโดยที่ไม่เบียดเบียนตัวเราเอง คนอื่น รวมถึงโลก เพื่อที่เราจะสามารถส่งต่อโลกที่ดีขึ้นให้กับคนรุ่นต่อจากเราได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกเบียดเบียนตัวเอง ความยั่งยืนจะไม่เกิดอย่างที่บอก และถ้าไม่เกิดการเบียดเบียนกัน นั่นน่าจะเป็นการใช้ชีวิตในทิศทางที่ดี ขณะที่โลกก็ไม่ต้องมารับผลจากการกระทำของเรา เมื่อโลกถูกแบ่งเบาให้รับภาระน้อยลง อนาคตก็น่าจะดีขึ้นตามมา แพรหวัง และอยากจะทำตรงนั้นให้ได้ค่ะ (ยิ้ม)”
ภาพถ่าย: ศรัณย์ แสงน้ำเพชร, PEAR is hungry, aroundp.co
ข้อมูลเพิ่มเติม: www.facebook.com/PearIsHungry, aroundp.co
ขอบคุณสถานที่: Chanchao Market – จันท์เจ้ามาร์เก็ต