
สภาวะอากาศแปรปวน กำลังเป็นหัวข้อที่กำลังอยู่ในกระแส เพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลกต่างมีสาเหตุมาจากสภาวะอากาศแปรปวน พายุที่มีความรุนแรงขึ้น มีจำนวนและความถี่มากขึ้น สามสี่ปีที่แล้วจากที่เคยตกใจกันว่าเป็นน้ำท่วมหนักจากฝนร้อยปี ที่เราเคยตกใจกันว่าในรอบร้อยปีมีสักครั้ง ตอนนี้กลับกลายเป็นฝนและน้ำท่วมหนักประจำปี เราไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องนี้ได้อีกต่อไปเพราะผลกระทบมันเริ่มใกล้ตัวเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม จนถึงจุดที่ทุกคนต้องลงมือทำหรือหยุดอะไรสักอย่าง ก่อนที่สภาวะอากาศแปรปวนจะเลยจุดที่สามารถแก้ไขได้ บทความนี้อยากแบ่งปันรูปแบบและแนวคิดของร้านเล็ก ๆ ร้านนึงที่เปลี่ยนตัวเองและเป็นส่วนหนึ่งที่ขอช่วยแก้ปัญหานี้
เมื่อสี่ห้าปีที่แล้ว บนถนนเส้นเล็ก ๆ ในอำเภอแม่ริม ที่เป็นเส้นทางของคนพื้นที่ที่อยากเลี่ยงความวุ่นวายบนทางหลวงหลักสาย 107 เป็นถนนที่การขับขี่อยากจอยกับการใช้ความเร็วต่ำ และวิวทุ่งนาไปยังบ้านดอนเจียง แหล่งปลูกถั่วเหลืองอินทรีย์แหล่งสุดท้าย และเป็นทางลัดไปเชื่อมกับถนนที่มุ่งหน้าไปอำเภอปาย มีบ้านหลังใหญ่กำลังสร้าง เราก็มองแล้วพยักหน้าหันมาพูดกันว่า เศรษฐีกรุงเทพฯ อีกท่านมาปลูกบ้านพักตากอากาศ เวลาผ่านไปอีกสักหน่อย มีอาคารน่ารักมาแทรกตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เป็นแลนมาร์คเดิมของถนนเส้นนี้ เป็นร้านอาหารชื่อ Rab-A-Bit ที่ข้าวผัดกุ้งอร่อยมาก การมาของบ้านนี้ก็ดีนะ (เมื่อมีของอร่อย การต่อต้านก็ลดลง) ผ่านมาสักปี เริ่มมียุ้งข้าวเล็ก ๆ ที่ปลายคันนา สองคนที่เคยทำกาแฟอยู่ในร้าน Rab-A-Bit ได้ออกไปเปิดอีกร้านหนึ่งห่างไป 50 เมตร (ในใจคือ ทะเลาะกันชัวร์) ต่ายกับตูนเป็นพี่น้องกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน ตูนกับเคเป็นสามีภรรยากัน ออกมาเปิดร้าน ‘Thingamajiggy’ อ่านว่า ‘ธิง-อะ-มา-จิก-กี้’ แปลว่าสิ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นแต่ยังไม่มีชื่อเรียก ตอนแรกที่ได้คุยกันเค้าอธิบายให้ฟังแบบนี้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก อ้าวชื่อในซองกาแฟสะกดไม่เหมือนที่ใน Google อธิบาย เค ตอบว่า “ออ ครับพี่ ซองกาแฟพิมพ์ผิด” โถพ่อหนุ่ม ในวงการกาแฟที่แข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่าน พ่อสะกดชื่อร้านตัวเองผิด จะรอดไหม 5555

ตูนกับเคเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย อยู่ชมรมดนตรีด้วยกัน จนเรียนจบได้แต่งงานกัน เคก็มาทำกาแฟให้ที่ร้านอาหารของบ้านตูนที่กรุงเทพฯ ยืนหน้าบาร์กาแฟมา 10 ปีได้ละ พอมีลูกก็อยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เลยย้ายมาอยู่เชียงใหม่กับครอบครัวใหญ่ ตูนเล่าว่าเคยืนหน้าบาร์เพื่อคนอื่นมาตลอด พอมาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่เลยอยากให้เคได้ยืนในบาร์ที่เป็นพื้นที่ของตัวเอง
จากคนแปลกหน้าเริ่มเป็นคนคุ้นเคย จนเป็นเพื่อน จึงอยากแชร์แนวคิดที่เราได้คุยกับตูนและเคมาเป็นปี ของร้าน Thingamajiggy การย้ายมาเชียงใหม่ในที่ที่อากาศเป็นปัจจุบัน และอยากให้ลูกสาวและผู้คนได้รับรู้ถึงสภาวะของอากาศปัจจุบันที่เป็นจริง ว่าโลกมันร้อนขึ้นและไม่อยากเพิ่มเครื่องปรับอากาศเข้ามาในร้านนี้ ฟังแล้วเป็นความคิดที่กล้าดี อย่างนี้ลูกสาวก็ได้เรียนรู้สิ ตูนตอบ “อ่อเปล่า คำหอมจะขอไปนั่งร้านน้าต่าย ร้านน้าต่ายเย็น5555” สิ่งมีชีวิตต้องการความสะดวกสบายเป็นสัจธรรม เหล่านี้คือแนวความคิดเริ่มต้นของร้าน คืออยากได้ร้านที่สร้างจากวัสดุธรรมชาติให้มากที่สุด อยากได้ร้านเล็ก ๆ ที่สองสามีภรรยาช่วยกันทำได้อาจมีคนงานมาช่วยบ้างสักหนึ่งคน

อาจารย์จุลพร เป็นผู้ออกแบบร้าน Rab-A-Bit ให้ต่าย และเป็นคนดู Landscape ของพื้นที่นี้ พอตูนและเค อยากได้ร้านเป็นไม้ อาจารย์เลยให้งานนี้กับ ‘ยางนาสตูดิโอ’ ที่เป็นลูกศิษย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องบ้านไม้ ผ่านมาสองปีร้านนี้ยังเสร็จไปได้ครึ่งเดียว อีกครึ่งคือรอต้นไม้ที่ปลูกไว้โต และแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา กว่า 50 ต้น ที่ตูนและเคปลูก เค้าอยากให้ต้นไม้อยู่ไปอีกร้อยปี ร้าน 21 ตารางเมตร ใช้เวลาออกแบบไม่นาน แต่หมดเวลาไปกับการวางว่าตรงนี้ควรปลูกต้นอะไรที่จะให้ร่มเงาตรงนี้
และที่ฟังแล้วมะเป้งแอบตกใจคือ แต่ละพันธุ์ที่เอามาปลูก จะไปเอาต้นกล้าจากแต่ละที่ที่มี Genetic ต้นไม้ที่แข็งแรง ในทางเทคนิคแล้วอาจไม่มี Gene ที่แข็งแรง แต่เป็น Gene ที่ส่งต่อความสามารถสูงในการยืดหยุ่น ความทนทาน และมีขีดความสามารถสูงในการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะพวกเค้าอยากให้ต้นไม้อยู่ไปอีกร้อยปี อย่างต้นก้ามปู จะไปเอามาจากสนามกอล์ฟยิมคาน่าที่เชียงใหม่ เพราะมีต้นแม่ซึ่งเป็นก้ามปูยักษ์ที่อยู่คู่สนามแห่งนี้มากว่า 150 ปี และแต่ละต้นที่เลือกมาปลูก จะหาต้นแม่ที่แข็งแรงและอยู่มานานเพื่อให้ Gene แห่งการปรับตัวได้ถ่ายทอดมาสู่ต้นไม้ที่ให้ร่มเงาที่ร้านแห่งนี้ (สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดอาจไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่อยู่นานที่สุด แต่กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้เก่งที่สุด หลักการของสิ่งมีชีวิต) ระหว่างที่รอต้นไม้แห่งความหวังของตูนและเคโต ก็มีการสร้าง ‘Pavilion ไม้ไผ่’ เพื่อช่วยกรองแสงแดดชั่วคราวระหว่างรอต้นไม้โต


ทั้งสองคนอยากให้แนวความคิดที่ร้านกาแฟนี้เป็นพื้นที่สีเขียว ที่คนสามารถนั่งใช้เวลารื่นรมย์ได้จริง ร้านนี้เป็น Pet Friendly ที่แท้จริง เสน่ห์อีกอย่างคือการได้ไปเล่นกับน้องหมาคนอื่นที่ร้านนี้ สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนร้านเล็ก ๆ ให้กลายเป็น Community โดยธรรมชาติ เพราะเป็นพื้นที่กลางของสิ่งมีชีวิตสองขา สี่ขา และธรรมชาติ ระหว่างที่ต้นไม้เติบโตขึ้น เราจะได้ยินเสียงนกร้องมากมาย พอมีต้นไม้ นกก็มีบ้านเพิ่ม ร้านกาแฟของตูนกับเคอยู่ปลายนา นกที่มาจะเป็นนกที่กินแมลงในนา เพราะชีวิตนกต้องการสองอย่างคือ ที่อยู่อาศัยและอาหาร ต้นไม้ที่ร้านนี้เพิ่มบ้านให้นก ส่วนอาหารไปหาเอาในนาเลย ลุงหวินที่ทำนาก็ได้ประโยชน์เพราะแมลงที่เป็นศัตรูกับข้าวลดลง

การที่ได้มานั่งดื่มกาแฟที่ร้านนี้ ทำให้เราได้เข้าใจฤดูกาลมากขึ้น เพราะผิวหนังเราได้รับสัมผัสสายลมกับไอแดด ได้สังเกตว่าร่างกายตัวเองที่ปรับตัว และระบบต่าง ๆ ทำงานสัมพันธ์กันดีขึ้น จนเราสามารถอยู่ในที่ที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศได้ เรารู้ว่าเราต้องหลบร่มเงาตรงไหน แล้วนานแค่ไหนต้องขยับหลบอีกทีเพราะพระอาทิตย์เคลื่อนตัว ซึ่งเรารู้เวลาจากแนวแดดเพราะเราสังเกตมัน รวมถึงการแต่งกายของเราก็เปลี่ยนไป ร่างกายเราสื่อสารการทำงานของเค้า เรารู้ว่าร่างกายจะกระหายน้ำมากขึ้น เพราะเราเหงื่อออก เสื้อผ้าจากที่เราหยิบจากตู้เสื้อผ้ามาใส่ เราจะรู้ว่าบางตัวที่เป็นฝ้ายทอไม่แน่นมากอากาศถ่ายเทได้ดี จะทำให้การสวมใส่มันสบาย คือเสื้อบ้าน ๆ แขนกว้าง ๆ ไว้รับลมนี่แหละ
เราจะทานเนย นม ขนมปังลดลง เพราะสิ่งนี้ตรงข้ามกับสภาพอากาศในภูมิภาคนี้ เราทานอาหารไทยเผ็ด ๆ ทำให้เหงื่อออกดีขึ้น โดนลมนิดหน่อยร่างกายเราจะเย็นลงพอสู้อากาศร้อนได้ อาหารในภูมิภาคนี้จึงต้องทานของเผ็ด ส่วนอาหารตะวันตก นม เนย ขนมปัง ทำหน้าที่ตรงกันข้ามคือเก็บอุณหภูมิไว้ในร่างกาย ให้ความร้อนไว้กับร่างกายไม่ให้ถ่ายเทไป รูขุมขนจะปิด เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากเมืองหนาว กลายเป็นว่าทั้งอาหาร และชุดของลุงหวิน ชาวนาที่ทำนาหน้าร้าน นี่เป็นผู้ถือ Wisdom ในการอาศัยอยู่กับอากาศเขตร้อน ในขณะที่อาหาร และเครื่องแต่งกายตามตะวันตกที่เราว่าเท่ห์ และดูมีอารยะ กลับทำให้อึดอัดในทุกมิติ การได้มองท้องฟ้ากับแสงแดดทุกช่วงเวลาของปี เป็นประสบการณ์ในการสังเกตธรรมชาติ ไม่อยากโม้ว่าเริ่มมีสกิลเหมือนชาวนา ลุงหวินที่ทำนาแปลงถัดจากร้าน เริ่มอ่านเมฆ อ่านลมออก การสังเกตจะบอกได้เลยว่าเมฆดำก้อนนี้ ลอยสูงประมาณนี้ ลมแบบนี้ รอด ไม่ตกโดนเรา ทักษะนี้มาจากการอยู่กับธรรมชาติและสังเกต

นี่คือหนึ่งปีที่นั่งทานกาแฟที่ร้านนี้ ที่ได้ซึมซับและปรับตัวให้เข้ากับอากาศปัจจุบันขณะ ตามที่ตูนและเคได้ตั้งใจไว้ เมื่อแรกจะทำร้าน ถ้าคิดว่าการติดแอร์เพิ่มเป็นการปรับตัวสู้กับโลกร้อน ลองแวะมาร้าน ‘Thingamajiggy’ บ่อย ๆ แล้วจะได้เข้าใจอีกรูปแบบของการปรับตัว เพราะไม่ได้มีแค่การปรับอากาศเข้าหาตัวเรา แต่เป็นการปรับตัวเราเข้าหาอากาศที่เป็นปัจจุบันขณะ
Thingamajiggy Coffee Roaster
https://maps.app.goo.gl/JKHvX7NLh7CS5rUE8
Rab-A-Bit
https://maps.app.goo.gl/5FcyYnVEk1oXGnKm7
ภาพถ่าย: มะเป้ง



