_mg_9351

ไทม์ไลน์ของเขาเป็นยังไง ชีวิตของเขาก็เป็นอย่างนั้น

ในยุคที่เราประเมินคุณภาพชีวิตคนรอบตัวแบบคร่าวๆ ด้วยตรรกะนี้ เวลาไล่ดูไทม์ไลน์แล้วเห็นเพื่อนบางคนที่มีเวลาตื่นเช้าดันตัวเองออกไปวิ่ง มีเวลาไปกินกาแฟเก๋คุณภาพดีในร้านกาแฟสวย มีเวลาเสาะหาร้านอาหารดีมีที่มาและอร่อย ขณะที่ตัวเราแทบไม่มีเวลาโงหัวจากกองงาน แน่นอน อดรู้สึกไม่ได้ว่า อืม ชีวิตเขาดีจังนะ

จิรณรงค์ วงษ์สุนทร เป็นเจ้าของไทม์ไลน์นั้นที่เราอิจฉา

ผู้ชายวัยขึ้นต้นด้วยเลข 3 คนนี้ มีอาชีพหลักเป็นบรรณาธิการศิลปกรรมประจำนิตยสาร a day อาชีพรองลำดับที่หนึ่งเป็นนักวาดภาพประกอบลายเส้นเรียบง่ายน่ามอง เจ้าของอินสตาแกรมชื่อ Jiranarong ส่วนอาชีพรองลำดับที่สองเป็นนักเขียนที่หยิบเอาส่วนประกอบต่างๆ ของชีวิตตัวเองมาเล่า ทั้งกาแฟ อาหารการกิน และแน่นอน การวิ่ง

เทียบกับนักวิ่งที่เรารู้จัก จิรณรงค์ไม่ใช่ทั้งนักวิ่งสายโหด สายอัลตร้า หรือสายน่ารัก แต่เราคิดว่าเขาเป็นนักวิ่งสายรื่นรมย์ที่สุดที่เรารู้จัก ไม่บ้าพลังสุดโต่ง แต่ก็มีวินัยและเป้าหมายในการวิ่งที่ชัดเจนน่าชื่นชม เรื่องราวของเขาจากที่เริ่มวิ่งเพื่อลดความอ้วนจนกระทั่งถลำตัวสู่มาราธอนแรกในชีวิต ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในหนังสือชื่อ A year of marathon เหตุผล แพสชัน และกระบวนการในการวิ่งของเขาบรรจุเต็มเปี่ยมอยู่ในนั้นหมดจนเราแทบไม่ต้องซักอะไรอีกแล้ว

แต่ที่ทำให้เรายังอยากคุยกับเขายาวๆ เพราะสงสัยเหลือเกินว่านอกจากการออกไปวิ่ง เขาทำ ‘ชีวิต’ ด้านอื่นให้ ‘ดี’ ขึ้นไปพร้อมกันได้ยังไง

หนุ่มนักวาดภาพประกอบที่เคยตัวใหญ่เท่าหมีเฉลยว่า ที่จริงแล้ว ชีวิตดีๆ ที่เราอิจฉาไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการจัดสรรชีวิตและลงมือทำ ซึ่งเป็นนิสัยที่ได้มาฟรีๆ ตั้งแต่เริ่มลุกขึ้นมาวิ่ง

เขาบอกว่า รู้ตัวอีกที ก็ไม่อยากกลับไปมีชีวิตแบบเดิมแล้ว

_mg_9244

ชีวิตเป็นยังไง ก่อนลุกขึ้นมาวิ่ง
ถ้าย้อนกลับไป ตอนนั้นเราค่อนข้างชินกับการที่ร่างกายมีปัญหา เราปวดหัวทุกวัน เหนื่อยง่าย ก็กินยาลดความดัน จะมีบ้างเวลาโดนวินมอเตอร์ไซค์ขึ้นราคา โดนเก็บราคาเกิน ซึ่งเราไม่จ่าย (หัวเราะ) คือถ้าลงรายละเอียดจริงๆ ก็เป็นปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะกับการเดินทาง ทำให้เราคิดอยากลดความอ้วนมาตลอด พอหันมาปั่นจักรยานกับว่ายน้ำร่างกายก็ดีขึ้น เลยเชื่อว่าการออกกำลังกายช่วยจริงๆ แต่ปัญหาคือยังไงน้ำหนักก็ไม่ลดสักที

ทำไมถึงยอมออกมาวิ่ง กีฬาที่คนอ้วนส่วนใหญ่ไม่ชอบ
อยากวิ่งให้ได้เพราะอยากเล่นไตรกีฬา พอว่ายน้ำเก่งแล้ว ปั่นจักรยานได้แล้ว ติดอยู่อย่างเดียวคือเราวิ่งไม่ได้ วิ่งไม่ได้มาตั้งแต่ประถม แล้วก็วิ่งไม่ได้มาเรื่อยๆ เพราะเราอ้วนขึ้นเรื่อยๆ ที่นี้ทุกคนจะสั่งห้ามวิ่ง หมอก็สั่งห้ามวิ่ง ให้ปั่นจักรยานกับว่ายน้ำเท่านั้น เราก็ยิ่งรู้สึกว่าก็อยากลองวิ่งดู แล้วพอดีตอนนั้นทำ a day ฉบับวิ่ง ทุกคนในกองไปวิ่งรอบสวน เราวิ่งไปไม่ถึงครึ่งรอบก็หยุดแล้ว แต่ทุกคนวิ่งกันได้ 2 รอบ เรารู้ว่ารูปร่างเรายังไม่เหมาะกับการวิ่ง แต่ก็อยากลองตั้งใจทำไปให้สุด ปวดเข่าจนไม่ไหวแล้วค่อยเลิกวิ่งไปเลยก็ได้ ก็เลยวิ่ง แล้วก็ลงสมัครงานวิ่งงานแรก 5 กิโลเมตรเลย จบเย็นวันนั้นก็ปวดหน้าแข้ง ปวดเข่า ปวดทุกอย่าง เพราะวิ่งเร็วไปหน่อย

_mg_9561

จากการวิ่งครั้งแรกๆ ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำไมถึงมีครั้งที่สอง ที่สาม จนกลายเป็นมาราธอน
ค่อยๆ วิ่งไปแล้วรู้สึกว่ามันพัฒนา จากวันนี้ปวดเท่านี้ พรุ่งนี้มันก็ปวดแหละ แต่ไปไกลได้มากขึ้น คือคนอ้วนที่มาวิ่งช่วงแรกน้ำหนักจะลดลงเร็วมาก ได้กำลังใจสุดๆ ไปเลย ทำให้เราอยากทำทุกวัน เพราะมันเห็นผลเร็วมากในทุกวัน ปกติคนทั่วไปใช้เวลาเป็นเดือนนะกว่าจะลดน้ำหนักได้กิโลนึง ถ้านานขนาดนั้นเราก็ไม่อยากวิ่งแล้วอะ แต่คนอ้วนวิ่งแค่สัปดาห์เดียวน้ำหนักก็ลดหนึ่งกิโลแล้ว พอคิดว่าเดือนนึงจะลดได้ 4 กิโล โอเค มีกำลังใจในการทำทุกวัน แล้วพอทำทุกวัน มันก็มีพัฒนาการเกิดขึ้นทุกวันเลย ทำให้เราวิ่งต่อเนื่องไปทุกวันได้ 2 เดือนโดยที่ไม่รู้สึกว่าเบื่อ จากที่วิ่งได้ 5 กิโลเมตร ก็เริ่มขยับเป็น 7 8

พอมีเรื่องระยะเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่ใช่แค่วิ่งทุกวันแล้ว ไปเที่ยวต่างประเทศก็ออกไปวิ่ง เป็นเป้าหมายใหม่ เมื่อก่อนแบกจักรยานไปเที่ยวลำบากมากเลย ตอนนี้เหลือแค่รองเท้าวิ่ง คู่เดียวใช้เดินด้วยวิ่งด้วย ตอนแรกเราไปไต้หวัน อากาศดี เย็นมาก เราก็วิ่งไปจนได้ 9.99 กิโล แล้วก็ไปลงวิ่ง 10 กิโลที่งานวิ่งเขาใหญ่ พอทำได้ก็มีเรื่องความเร็วเข้ามาเป็นเป้าหมายใหม่อีก พอเร็วขึ้น ก็ไปให้ไกลขึ้นอีก จนตัดสินใจลงฮาล์ฟมาราธอน พอจบฮาล์ฟได้ ทีนี้มาราธอนก็โผล่มาในความคิดเลย

ก่อนไปมาราธอน ซ้อมหนักแค่ไหน

มีคนบอกว่ามาราธอนมันไม่เหมือนวิ่งฮาล์ฟ 2 ครั้งนะ เราเลยซ้อมเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนแรกซ้อมระยะ 21 กิโลที่เราวิ่งได้อยู่แล้ว วิ่งออกจากบ้านดูทางไปเรื่อยๆ แล้วก็เพิ่มขึ้นเป็น 30 กิโล ไปปากเกร็ดออกนนทบุรีเลยมั้ง คือไปเรื่อยเลย เหนื่อยแฮ่กเลยนะ เราซ้อมแบบไม่เคยเอาความเร็วเลย เน้นวิ่งช้าๆ แต่เอาระยะ เพื่อให้รู้สึกว่าวิ่งระดับนี้เราจะจบแน่ๆ ซ้อมสูงสุดที่ 35 กิโล เอาให้เหนื่อย แต่รู้สึกว่าไปต่อได้อีกอย่างน้อยโลสองโล คิดว่าระดับนี้ร่างกายน่าจะผ่านมาราธอนได้แล้วล่ะ แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่เพราะยังไม่เคยผ่านมาราธอนจริง ไม่รู้วันจริงจะเป็นยังไง

ตอนเข้าเส้นชัยมาราธอนแรกที่โตเกียว สะใจไหม
เอาจริงๆ คือไปถึงโตเกียวก็ดันเจ็บขา ต้องพันขาไว้แน่นๆ จนรู้สึกชาแล้วก็ฝืนวิ่ง เดินไปวิ่งไปเอา ตอนออกตัวไป 10 กิโลแรกเราวิ่งได้เร็วกว่าปกติ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยเลย บรรยากาศมันเพลิน มาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองช้าลงตอนกิโลที่ 30 เริ่มล้า เจ็บเท้า แต่พอเข้าใกล้เส้นชัย ทุกอย่างมันหายหมดเลย วิ่งเข้าเส้นชัยแบบเบลอๆ แบบอ้าว จบแล้วเหรอ เพิ่งรู้สึกตอนกลับโรงแรม อาบน้ำ แล้วมาดูเหรียญ เออจบมาราธอนแล้ว ดีใจ จบ (หัวเราะ)


จบมาราธอนไปแบบงงๆ แล้วอะไรทำให้คุณยังมีกำลังใจวิ่งต่อ
มาราธอนคราวนั้น เอ็นร้อยหวายเราอักเสบรุนแรง หมอให้หยุดวิ่ง 2 เดือน พอขุดตัวเองกลับมาวิ่งได้ก็เริ่มไม่มีเป้าหมาย เริ่มขี้เกียจ เลยมาคิดว่าจะทำยังไงให้ไม่เลิกวิ่งได้ ไม่เหมือนตอนปั่นจักรยานที่เรารู้สึกว่าใช่ เป็นสิ่งที่เรารักมากเลย แต่สุดท้ายก็เลิก ทิ้งจักรยาน เราอยากทำให้ตัวเองอยากวิ่งไปได้ตลอดชีวิต

ขนาดจักรยานยังเลิกปั่น แต่ทำไมถึงไม่อยากเลิกวิ่ง
รู้สึกว่าเวลาวิ่งแต่ละครั้ง เราเห็นอะไรชัด เห็นการปรับตัวเองขึ้นไปได้เรื่อยๆ ทั้งการลดน้ำหนักและการประสบความสำเร็จใน challenge เล็กๆ ของเราเอง เราเลยติดการวิ่ง เราชอบที่จะดื้อกับตัวเอง แข่งกับตัวเอง มีเป้าแล้วก็ทำให้ได้สิ ซึ่งนิสัยเหล่านี้เราไม่ได้เป็นมาก่อนนะ มันเพิ่งมาเป็นหลังจากวิ่งไปสักพัก รู้สึกว่ามีอะไรให้เราทำไปเรื่อยๆ สนุกดี แล้วมันก็ทำให้เรามีวินัยขึ้นมาเยอะมาก เรื่องงานหรือเรื่องอื่นใดในชีวิตก็เป็นตามไปด้วย ไม่เถลไถลนอกลู่นอกทาง มีงานอะไรตรงหน้าก็อยากทำให้มันจบ

_mg_9476

จะบอกว่า วินัยในการใช้ชีวิตได้มาจากการวิ่ง งั้นเหรอ
เหมือนที่เขาบอกกันว่าวิ่งเปลี่ยนชีวิต สำหรับเรา เข้าเส้นชัยไม่รู้สึกอะไร เท่านั้นเลย งงๆ เบลอๆ แต่สิ่งที่มันเปลี่ยนไปจริงๆ คือทุกเช้าเราต้องลุกมาวิ่ง ก็เป็นวินัยแล้วหนึ่งอย่าง จากที่เคยนอนดึกตื่นสาย แป๊บๆ ก็หมดวันแล้ว เรากลายเป็นคนตื่นเช้า เรามีเวลาเหลือเยอะมากหลังจากวิ่ง รู้สึกว่าวันหนึ่งยาวมากเลย ทำอะไรได้เยอะมาก แล้วพอมีเวลามาก เราก็ไม่ต้องเอางานไปทำตอนกลางคืน มีอยู่ช่วงนึงที่รูปเราก็วาด งานก็ทำ วิ่งก็วิ่ง ตอนนั้นรู้สึกว่ามีผลงานเต็มไปหมดเลย

การวิ่งไม่ใช่การต้องเจียดเวลางานไปทำ อย่างที่คนทั่วไปคิด
บางทีงานก็ได้มาจากตอนไปวิ่งด้วยซ้ำ เรามักจะคิดงานออกตอนวิ่ง เวลาต้องคิดปกนิตยสาร บางทีก็จะไปวิ่งนะ คือไม่ได้ไปวิ่งเพื่อคิดปกหรอก ไปวิ่งปกติแหละ แต่เวลาวิ่งเราก็จะคิดอะไรไปด้วย จริงๆ ก็ไม่ได้คิดแต่สิ่งที่มีประโยชน์นะ คิดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ก็มี แต่มันมีสมาธินะ มีความตั้งใจเกิดขึ้นมานิดนึง แล้วก็ส่งผลต่อความตั้งใจในการทำอะไรหลายๆ อย่าง ก่อนหน้านี้เป็นคนที่มีอะไรไม่รู้ตีกันในหัว ตอนนี้ก็นิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ขนาดตัวที่ผอมลง น้ำหนักลดจาก 120 มาเป็น 90 แต่มันเปลี่ยนหลายอย่าง เปลี่ยนระหว่างที่เรากำลังซ้อม โดยที่เราไม่รู้ตัว พอเราเคลียร์ทุกอย่างได้ ทุกอย่างมันก็คลีนไปหมด ทั้งร่างกาย ทั้งเรื่องในหัว จากที่เคยปวดหัว อ้วน เหนื่อย นอนดึก อะไรก็ไม่ดีไปหมด

_mg_9543

อาหารการกินก็เปลี่ยนไปด้วยไหม
เปลี่ยน เมื่อก่อนก็ลองกินคลีนแบบจริงจังช่วงนึง เพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งทำให้เราเรียนรู้ว่าการวิ่งและการกินมันส่งผลต่อร่างกายเราจริงๆ การเผาผลาญของตัวเองดีขึ้นมาก จนตอนหลังรู้สึกว่าถ้าไม่ใช่ช่วงเข้มงวดจริงๆ เราไม่ต้องกินคลีนก็ได้ ทุกวันนี้เราเลยกินทุกอย่างที่เราชอบเหมือนเดิม แต่เราจะกินแบบที่เรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไร เช่น เราต้องการโปรตีนในช่วงนี้ หรือว่า ต้องการคาร์โบไฮเดรตในช่วงนี้ เราจะตั้งต้นที่สารอาหาร แล้วไปกินเมนูที่มีสารอาหารนั้น สมมติวันนี้กินไก่ทอดร้านท่งหลี มันไม่ใช่อาหารที่แบบคนจะลดน้ำหนักกินหรอก แต่เรารู้ว่าเราจะกินโปรตีน วันนี้เราเลยกินไก่ทอดท่งหลีได้ คือเราเลือกกิน และรู้ว่าตัวเองกินอะไร


คุณเรียนรู้ว่า การอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่ดี ไม่ต้องสุดโต่งก็ได้
เราไม่ชอบการเห็นคนนั่งหน้าคอมทำงานทั้งวัน แล้วไม่ลุกออกมาไร้สาระบ้างเลย เราว่ามันเครียดไป เมื่อก่อนเราอาจจะรู้สึกว่าคนนี้ขยัน แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าคนนี้แบ่งเวลาไม่เป็น คนที่เดินออกมาคุยเล่นบ้างคือคนที่พักผ่อนเป็น เราอยากใช้ชีวิตอย่างนั้น คือ ทำงานก็คือทำงาน ช่วงไหนที่ไม่ต้องเครียดมากก็เล่นบ้าง เราตื่นเช้า ก่อนเข้างานก็ไปนั่งคาเฟ่รีแลกซ์บ้าง อยากวาดรูปก็รีแลกซ์ พอเข้ามาที่ออฟฟิศก็ทำงาน เราอยากแบ่งเวลา อยากมีช่วงที่เรารู้สึกผ่อนคลายแทรกเข้าไปในนั้น

เรารู้สึกว่า ทุกอย่างต้องทำให้มันบาลานซ์ให้หมด ไม่ทุ่มไปอย่างเดียว คือทุกวันนี้เราคิดว่าจะทำยังไงให้นอนเที่ยงคืนได้ เพื่อให้ได้นอนวันละเจ็ดชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายซ่อมแซม เพื่อที่พรุ่งนี้จะวิ่งโดยที่ไม่เหนื่อยได้อีก ยกเว้นว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ไม่ต้องวิ่ง เป็นวันพัก คืนนี้เราก็จะทำงานลากยาวให้มันจบได้ เพราะว่ามันต้องจบงานให้ทัน แล้วพรุ่งนี้ก็ไปนอนเร็วเอา คือมันจะมีการจัดการชีวิตล่วงหน้าไปประมาณสองวัน วันไปที่เราต้องซ้อมวิ่งเร็ว วันนี้ต้องกินเนื้อเยอะ พอกินเนื้อเยอะปุ๊บ อีกวันก็ต้องอยากกินผักมากๆ เราจะมีแผนการล่วงหน้า มีแผนการที่เป็นมุมกว้าง ซึ่งกระทบเรื่องอื่นในชีวิตด้วย เรารู้สึกว่าการจัดการทุกอย่างให้บาลานซ์มันก็สนุกดีนะ

_mg_9311

ดูเหมือนคุณเสพติดชีวิตใหม่ มากกว่าเสพติดการวิ่ง
ใช่ เราเสพติดชีวิตแบบนี้ รู้สึกว่าไม่ได้วิ่งแล้วชีวิตแย่มาก ถ้านอนดึก ตอนเช้าเราจะไม่ได้วิ่ง ก็จะรู้สึกคุณภาพชีวิตแย่แล้วตัวเราจะกลับไปเหมือนเดิม เราแค่กลัวที่จะกลับไปอยู่ในวงจรเดิม แล้วก็ติดกับวงจรเดิมไปเลย การไม่ได้ออกกำลังกายและการนอนดึก มันทำให้รู้สึกผิดอะไรสักอย่าง ทั้งที่ตอนก่อนวิ่งก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแย่ขนาดนั้น จนมาวิ่งแล้วย้อนกลับไปดูตัวเอง แปลกนะ คือเวลาอยู่ในวงจรชีวิตปัจจุบันเราไม่รู้หรอกว่ามันแย่ยังไง แต่ถ้าในอนาคตเรามองกลับมา เราอาจจะรู้สึกว่าปัจจุบันเราแย่อยู่ก็ได้

เหมือนการวิ่งพาชีวิตไปเจออะไรที่ดีกว่าเดิม
มันพาไปสู่ชีวิตที่เรารู้สึกว่าดีขึ้นทุกด้าน

จากการวิ่งแค่ครั้งเดียว
เออ ใช่ (หัวเราะ)

เครดิตภาพถ่าย : มณีนุช บุญเรือง