ทุกวันนี้พอพูดถึงอาหารอเมริกัน สิ่งแรกที่แว้บเข้ามาในหัวเราคงหนีไม่พ้นแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นโตกับเฟรนช์ฟรายส์ทอดกรอบที่สั่งเร็วเสิร์ฟเร็วและมีให้เห็นจนชินตา แต่ในอีกด้านหนึ่ง โลกของอาหารอเมริกันกลับเกิดขึ้นจากความพิถีพิถัน การปรุงด้วยใจจากวัตถุดิบท้องถิ่น หรือที่เราอาจเคยได้ยินกันในชื่อ homecook ซึ่งเป็นการทำอาหารให้อิ่มอร่อย เหมือนได้กินข้าวที่บ้าน

และ ‘เจมส์ เบียร์ด’ ชายร่างท้วมอารมณ์ดี ผู้นี้นี่เองที่เป็นคนบุกเบิกโลกของอาหารท้องถิ่นแบบอเมริกันให้กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง ผ่านการเขียนหนังสือ การเป็นพิธีกรรายการอาหารรายการแรกของอเมริกา และอีกสารพัดหน้าที่ จนทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่เชฟอเมริกันมาแล้วจากรุ่นสู่รุ่น และได้รับการขนามนามว่าเป็น ‘Dean of American Cookery’ เลยทีเดียว 

เจมส์เกิดในปี 1903 ที่โอเรกอน เขาใช้ชีวิตวัยเด็กร่วมกับครอบครัวที่มีแม่ผู้หลงใหลในการทำอาหาร และใช้เวลาช่วงวันหยุดอยู่ที่เมืองเกียร์ฮาร์ท เพื่อตกปลา เก็บพืชผักท้องถิ่น และรับวัตถุดิบส่งตรงจากฟาร์มมาทำอาหารสไตล์อเมริกันดั้งเดิมแบบง่ายๆ ทำให้ตลอดเวลานั้นเจมส์คลุกคลีอยู่กับอาหารที่ทั้งดีและอร่อยจนคุ้นชิน

แต่ด้วยความฝันที่อยากจะเป็นนักแสดง เจมส์ตัดสินใจออกเดินทางไปเรียนการแสดงถึงประเทศฝรั่งเศส เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นในช่วงระยะหนึ่ง แล้วกลับมาหางานทำในเมืองแห่งแสงสีอย่างนิวยอร์ก แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ดูเหมือนเจมส์จะได้เป็นแค่ตัวประกอบในละครเวทีต่างๆ เท่านั้น เขาจึงเริ่มคิดว่าเส้นทางการแสดงที่เคยฝันอาจไม่ได้สวยงามอย่างที่ตั้งใจไว้

เจมส์ตัดสินใจเลิกไล่ตามความฝัน แล้วออกมาทำงานในร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เน้นขายอาหารเรียกน้ำย่อยเสิร์ฟในงานปาร์ตี้ร่วมกับเพื่อนของเขา และนั่นทำให้เขาได้พบกับอีกหนึ่งแพสชั่นอย่างการทำอาหารที่อยู่กับเขามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก

เพราะอาหารทุกจานล้วนทำด้วยความพิถีพิถันและใส่ใจ ร้านของเจมส์จึงมักเป็นที่พูดถึงอยู่บ่อยๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งให้เขียนหนังสือสูตรอาหารต่างๆ ที่เขาทำในร้าน กระทั่งปี 1940 หนังสือเล่มแรกของเจมส์ก็ได้วางแผงในชื่อ Hor d‘Oeurves and Canapes 

นับแต่วันนั้น เส้นทางสายอาหารของเจมส์ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แถม 6 ปีต่อมา เขาก็สามารถสร้างรายการคุกกิ้งโชว์รายการแรกของสหรัฐฯ ทางช่อง NBC ได้สำเร็จ รายการของเชฟเจมส์ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกลายเป็นต้นแบบของรายการทำอาหารที่เราเห็นกันในปัจจุบัน เขาพัฒนาความสามารถต่างๆ ไปสู่การเปิดร้านอาหารสไตล์อเมริกันของตัวเอง และเวลาต่อมาชื่อของเจมส์ก็กลายเป็นที่พูดถึงอย่างแพร่หลายในวงการอาหาร ที่สำคัญเขายังทำให้คนอเมริกันผู้หันไปสนใจการกินฟาสต์ฟู้ด เริ่มกลับมาพูดถึงการทำอาหารแบบ homecook และการเลือกใช้ของดีของสดจากท้องถิ่นกันมากขึ้นด้วย

ในปี 1955 เจมส์ตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารของตัวเอง เพื่อให้คนอเมริกันได้เรียนรู้เรื่องการกินดีแบบยั่งยืนและได้รู้จักกับวัตถุดิบสดใหม่ที่อุดมอยู่ในท้องถิ่นของพวกเขา พร้อมๆ กันนั้นเจมส์ยังเขียนหนังสืออยู่เรื่อยมา เขามีผลงานการเขียนตลอดชีวิตมากถึง 31 เล่ม หนังสือเหล่านั้นยังคงวางแผงและเป็นต้นแบบให้เชฟชาวอเมริกันนำไปปรับใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้ อย่างหนังสือ James Beard’s American Cookery ที่รวบรวมสูตรอาหารอเมริกันดั้งเดิมไว้ถึง 1,500 สูตร

เจมส์เสียชีวิตในวัย 81 ปี นอกจากผลงานที่เขาทิ้งไว้เกี่ยวกับการผลักดันเรื่องอาหารท้องถิ่นของอเมริกาแล้ว ยังมีผู้คนอีกมากมายที่เข้ามาสานต่อเจตนารมณ์เรื่องอาหารดีของเขา

นั่นคือที่มาของ James Beard Foundation ซึ่งเกิดขึ้นจากกลุ่มเพื่อนและนักเรียนที่เคยร่วมเรียนทำอาหารมากับเจมส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนเรื่องการกินดีในอเมริกา พร้อมกับการมอบรางวัล James Beard Foundation Awards ขึ้นในปี 1990 ให้กับเชฟและร้านอาหารที่คร่ำหวอดในวงการอาหารดี รวมทั้งยังมีการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับเชฟผู้มีความสามารถด้วย

ตัวอย่างเช่น Nora Pouillon หญิงสาวเจ้าของร้านอาหารออร์แกนิกแห่งแรกๆ ของอเมริกา ที่สนับสนุนการทำตลาดสีเขียวและส่งเสริมงานขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ผู้ได้รับรางวัล Lifetime Achievement Award และร้าน Healdsburg Shed ร้าน farm to table ขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ได้รับรางวัลด้าน Best Design Restaurant 

นอกจากนี้มูลนิธิของเจมส์ยังทำโครงการสนับสนุนเรื่องการกินดีอีกหลากหลาย เช่น โครงการ Smart Catch ซึ่งเป็นการให้ความรู้เชฟในร้านอาหารต่างๆ เรื่องการเลือกเสิร์ฟปลาดีจากแหล่งประมงในโครงการ ที่ได้รับการยอมรับว่าทำงานอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการรักษาสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าพวกเขาจะได้กินของดี ของอร่อยที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

แม้ทุกวันนี้เชฟรุ่นใหม่อาจไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องอาหารดีกับเชฟเจมส์ตัวเป็นๆ แล้ว แต่ชื่อของเจมส์ เบียร์ดก็ยังเป็นที่พูดถึงในหมู่เชฟ และเขาก็ยังจะคงเป็นไอดอลด้านการรังสรรค์อาหารท้องถิ่นสไตล์อเมริกันให้กับเชฟรุ่นต่อๆ ไปเสมอมา

ส่วนในเดือนหน้าเราจะหยิบเรื่องของใครมาเล่าให้ฟังกันอีก ก็ติดตามได้ใน organic story เลย!

ที่มาข้อมูล:
www.jamesbeard.org/about
www.washingtonpost.com/