คงไม่มีใครนึกถึงว่าการเลือกใช้สบู่ และการอาบน้ำของเราในแต่ละวันจะมีส่วนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และสัตว์ รวมไปถึงโลกของเราได้ แต่เดวิด บรอนเนอร์ (David Bronner) ทายาทธุรกิจครอบครัวรุ่นที่ 3 ของแบรนด์สบู่ออร์แกนิกสัญชาติอเมริกัน ‘Dr.Bronner’s Magic Soap’ ทำให้เป็นจริงได้หลังจากที่ทำงานอย่างหนักมาเป็นเวลา 20 กว่าปี เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงในเรื่องต่างๆ ทั้งในเชิงการปฏิบัติ และนโยบายระดับประเทศ โดยที่เขาเริ่มต้นจากการทำให้ธุรกิจสบู่ของเขามีความรับผิดชอบต่อผู้ผลิตทางต้นน้ำ และสิ่งแวดล้อม ตลอดไปจนถึงผู้บริโภคมากขึ้น

หลังจากที่เดวิดและน้องชายของเขาได้รับช่วงต่อจากคุณพ่อ เดวิดไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหาร CEO แบบที่พวกเราเข้าใจ แต่เขาแต่งตั้งตนเองเป็น Cosmic Engagement Officer หรือผู้สร้างการมีส่วนร่วมของผู้คนและสิ่งต่างๆ ที่แบรนด์ด็อกเตอร์บรอนเนอร์ให้ความสำคัญ โดยที่เขามีปณิธานแน่วแน่ที่จะสานต่อแนวคิดของคุณปู่ของเขา ผู้ริเริ่มแบรนด์ด็อกเตอร์บรอนเนอร์สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ยุคสมัยที่มีแต่ความโหดร้าย ซึ่งในยุคนั้นคุณปู่ของเขาเคยฝากแนวคิดไว้บนฉลากบรรจุภัณฑ์ทุกชิ้นว่า

“มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร เชื้อชาติใด ศาสนาใด ล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับโลกใบนี้ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่รอบตัวเรา – We’re All One or None”

เมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนผ่านไปเป็นเวลาหลายสิบปี เดวิดมองว่าแบรนด์ด็อกเตอร์บรอนเนอร์สามารถทำอะไรและเป็นอะไรได้มากว่าการสร้างสันติภาพในเชิงการลดความขัดแย้งของมวลมนุษย์ ยังคงมีเรื่องธรรมชาติและสรรพสัตว์ที่เขาเห็นว่ามนุษย์เรานั้นยังไม่ได้ลงมือทำสิ่งดีๆ เท่าที่ควร เขาจึงเริ่มโครงการต่างๆ ผ่านการผลิตสบู่และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอื่นๆ เพื่อให้ปณิธานที่มีเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการริเริ่มการรับรองผลิตภัณฑ์ด้วยตราประทับที่ยืนยันว่ากระบวนการผลิตส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์เพื่อการฟิ้นฟูของธรรมชาติ หรือ Regenerative Oraganic Certified Standard (ROC) ร่วมกับองค์การและภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมสูง หรือการต่อสู้กับระบบการผลิตแบบ GMO ร่วมไปถึงการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในด้านอัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ เป็นต้น

“พวกเรามองว่าแบรนด์ของพวกเรานั้น เป็นเหมือนเครื่องยนต์ที่มีแรงขับเคลื่อนในการสร้างโลกที่ดีขึ้นให้กับทุกคน”

เมื่อพูดถึงตัวผลิตภัณฑ์ของด็อกเตอร์บรอนเนอร์เอง เดวิดให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบของการผลิตสบู่ ลิปมัน ตลอดไปจนถึงยาสีฟันเป็นอย่างมาก และที่สำคัญสบู่ของด็อกเตอร์บรอนเนอร์นั้นเป็นที่เลื่องชื่อว่าสามารถชำระล้างได้ทุกสิ่งตั้งแต่ร่างกายของเรา ไปจนการทำความสะอาดบ้าน ดังนั้นวัตถุดิบที่เดวิดเลือกใช้นั้นในผลิตภัณฑ์ จะต้องได้รับการรับรองว่าเป็นวัตถุดิบอินทรีย์ทั้งสิ้น

วัตถุดิบธรรมชาติสำคัญต่างๆ ยังนำมาจากประเทศที่มีความแตกต่างทางด้านศาสนาและวัฒนธรรมอีกด้วย เพื่อแสดงถึงความไม่แบ่งแยกและสนับสนุนความเท่าเทียมของผู้คนในระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิต

ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันมะกอกที่ผลิตโดยสามประเทศที่นับถือศาสนาแตกต่างกัน คือศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ และศาสนายูดาห์ แล้วนำวัตถุดิบมาผสมผสานกัน หรือจะเป็นน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนจากประเทศกาน่า และน้ำมันมะพร้าวที่ส่งตรงมาจากประเทศศรีลังกา ซึ่งเดวิดเองเคยได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสวนด้วยตัวเองเพื่อแนะนำเกษตรกรทั้ง 1,200 ชีวิต ให้ทำการเกษตรฟื้นฟูธรรมชาติอย่างถูกต้อง ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรกว่า 95% ที่ส่งวัตถุดิบให้กับด็อกเตอร์บรอนเนอร์นั้น ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้ทั้งสิ้น และที่ผ่านมาเดวิดได้ใช้ความสำเร็จในด้านการผลิตนี้ในการเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก GMO และยกระดับการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade) อีกด้วย

ความตั้งใจของเดวิดยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เขายังคำนึงถึงผลกระทบของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยเช่นกัน เขาจึงตั้งใจเริ่มการปฏิบัติการนำพลาสติกรีไซเคิลมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับสบู่เหลว และนำกระดาษรีไซเคิลมาทำเป็นกระดาษห่อสบู่ก้อนได้ทั้งหมด 100% ในปัจจุบัน และในเชิงของการใช้พลังงาน เดวิดยังได้เปลี่ยนระบบการใช้ไฟฟ้าในโรงงานหลักให้กลายมาเป็นการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ถึง 50% ต่อปี เรียกได้ว่าเดวิดนั้นใส่ใจทุกกระบวนการอย่างแท้จริง ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาได้พาแบรนด์ด็อกเตอร์บรอนเนอร์ไปเข้าร่วมกลุ่มภาคีที่ร่วมมือกับเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน โดยเชื้อเชิญให้กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และเครื่องประทินโฉมใช้พลังและความสามารถในการแก้ไขปัญหาการสร้างก๊าซเรือนกระจก รวมไปถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน

ในเรื่องที่เดวิดยอมไม่ได้เลยนั้นคือการที่ยังมีแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังหลายรายยังคงใช้คำว่า ‘ออร์แกนิก’ และ ‘รักษ์โลก’ เพื่อการตลาดอยู่มาก โดยที่ไม่ได้สนว่าตนเองยังคงมีการใช้สารสังเคราะห์ และปิโตรเคมีอยู่ ซึ่งเป็นการหลอกลวงทั้งผู้บริโภค และโลกใบนี้ของเรา ทำให้เขายังคงต่อสู้เพื่อการมีการบังคับใช้มาตรฐานรับรองเครื่องสำอางอินทรีย์ในทางกฏหมายที่ดีกว่านี้ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เดวิดตั้งใจนำร่องการทำตรามาตรฐานรับรองการเกษตรฟื้นฟูธรรมชาติ (ROC) ขึ้นมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับแบรนด์อื่นๆด้วย

“เรากำลังทำลายชีวิตของดินด้วยระบบการทำเกษตรกรรมในปัจจุบัน เราปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผลด้วยปัจจัยทางเคมีที่มากขึ้นเรื่อยๆ และเราปฏิบัติต่อดินราวกับสิ่งสกปรกที่ไร้ชีวิต แทนที่จะเห็นว่าดินเป็นทรัพยากรที่มอบชีวิตให้สิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่”

เดวิดสร้างโปรแกรม ROC แบบบูรณาการ ที่ครอบคลุมเรื่องการชี้ให้ถึงปัญหาคุณภาพของดิน การพัฒนาสวัสดิภาพสัตว์ และการจ้างแรงงานที่เป็นธรรมเพื่อสร้างทางเลือกใหม่ในเชิงการปฏิบัติอย่างยั่งยืน และระบบนิเวศที่ดีกว่าสำหรับอุตสาหกรรมการเกษตรที่เป็นมาจนถึงปัจจุบัน เพราะอุตสาหกรรมการเกษตรทั่วโลกที่เน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวนั้นมักจะพึ่งพาปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และสารเคมีกำจัดวัชพืชอย่างมากซึ่งเป็นการทำลายหน้าดินบนพื้นที่เพาะปลูกอย่างรวดเร็วและมหาศาล เป็นส่วนที่สร้างมลพิษลงในแหล่งน้ำ และทำลายวิถีชีวิตของเกษตรกรครอบครัวเล็กๆ และความเป็นอยู่ของชุมชนในชนบท

ดังนั้นเส้นทางการดำเนินการตามหลักของ ROC จะไม่เพียงแต่ลดความเสียหายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากอุตสาหกรรมการเกษตรแล้วนั้น ยังสามารถช่วยแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศของเราได้ด้วย โดยใช้ดินที่อุดมสมบูรณ์มาช่วยดึงและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ เดวิดเชื่อว่าการรับรอง ROC จะช่วยให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมีทางเลือกในการสนับสนุนชุมชนเกษตรกรท้องถิ่น ที่ดูแลผืนดินของพวกเขาเป็นอย่างดี และมีการจ่ายค่าจ้างที่ยุติธรรมให้กับคนงานของพวกเขา

มาจนถึงวันนี้ เดวิดได้นำพาแบรนด์สบู่มหัศจรรย์ด็อกเตอร์บรอนเนอร์มาสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ จากความพยายามของเขาที่ทำให้กลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจในเรื่องเดียวกันพร้อมสนับสนุนเขาเสมอ โดยธุรกิจด็อกเตอร์บรอนเนอร์เติบโตจาก 4 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 1998 มาเป็น 129 ล้านเหรียญสหรัฐฯหรือ 3,800 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา แต่รายได้มหาศาลนี้ไม่ได้แบ่งสัดส่วนมากที่สุดเพื่อเข้ากระเป๋าเดวิด หรือผู้บริหาร หรือสมาชิกในครอบครัวของเขาอย่างที่ธุรกิจทั่วไปทำกัน

เดวิดตั้งกฎไว้ว่าเงินเดือนของบริหารระดับสูงที่สุดในองค์กรจะต้องไม่เกิน 5 เท่าของเงินเดือนพนักงานที่ได้เงินเดือนต่ำที่สุด

เพื่อที่จะได้นำเงินกำไรที่เหลือไปบริจาคสานต่อโครงการเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เดวิด และทุกคนในด็อกเตอร์บรอนเนอร์ต้องการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนปีละ 2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรยึดหลักและปฏิบัติตามการทำเกษตรเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ การสนับสนุน Fair Trade หรือการค้าที่เป็นธรรมกับเกษตรจำนวน 25,000 คนทั่วโลก และการใช้แต่น้ำมันปาล์มที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ยั่งยืนในประเทศกานา ที่ไม่ทำลายที่อยู่อาศัยของลิงอุรังอุตังและสัตว์ป่าหายากอื่นๆ นอกเหนือจากนี้เดวิดเองยังเป็นกระบอกเสียงในเรื่องการคุ้มครองสัตว์ และตัวเขาเองก็เป็นมังสวิรัติมา 25 ปีแล้วเพื่อสื่อสารถึงปัญหาการทารุณสัตว์ในอุตสาหกรรมผลิตเนื้อสัตว์ และเพื่อเชิญชวนคนให้หันมาปรับพฤติกรรมการกินให้ดีต่อทั้งตัวเองและโลกอีกด้วย

ด็อกเตอร์บรอนเนอร์ไม่ได้แค่มีผลิตภัณฑ์สบู่มหัศจรรย์ที่ทำให้ผู้คนหลงรักเท่านั้น แต่ยังมีผู้บริหารอย่างเดวิดที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้คน สัตว์ และรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ซึ่งเห็นได้ในทันทีเลยว่าไม่ว่าการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าของเขาจะเป็นอย่างไร จะต้องประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืนโดยไม่เบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ หรือสิ่งมีชีวิตโดยรอบอย่างแน่นอน

ที่มาข้อมูล
www.drbronner.com
www.forbes.com
www.regenorganic.org
www.richroll.com

ภาพประกอบ: Paperis